ว.DIIT จับมือ Oracle สร้างจุดแข็งด้านสตาร์ทอัพของ ม.รังสิต สนับสนุนคลาวด์แพลตฟอร์มปั้นเด็กยุคใหม่ให้เป็นเถ้าแก่

15 Nov 2018

 

     วิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ (DIIT) มหาวิทยาลัยรังสิต จับมือ ออราเคิล (Oracle) จุดพลุโครงการสนับสนุนสตาร์ทอัปไทยเต็มรูปแบบกับมหาวิทยาลัยรังสิต ระบุเป็นมหาวิทยาลัยแรกในไทยที่ออราเคิลจัดคลาสสอนนักศึกษาเพื่อปูทางพัฒนานวัตกรรมสตาร์ทอัปแบบต่อเนื่อง คาดจะขยายความร่วมมือลักษณะนี้ไปยังเวียดนามในช่วงปีหน้า เบื้องต้น ไม่ตั้งเป้าว่าจะผลิตบุคลากรที่ชำนาญเทคโนโลยีออราเคิลสู่ตลาดไทยเท่าใด แต่มั่นใจความร่วมมือนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ของไทย

 


   

     นายพัสน์นันท์ จมูศรี ผู้อำนวยการฝ่ายคลาวด์แพลตฟอร์ม ออราเคิล ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมา ออราเคิลจะทำโครงการส่งเสริมการศึกษาในหลายสถาบัน และสนับสนุนชุมชนสตาร์ทอัปในหลายประเทศ แต่ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรังสิต ถือเป็นครั้งแรกที่ออราเคิลสนับสนุนทั้งด้านการทำเวิร์กชอปเต็มรูปแบบ ผ่านหลักสูตร Innovative Startup ของวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งบุคลากรออราเคิลจะเป็นผู้อบรมทั้งสอน ฝึก ผ่านเวิร์กชอป เพื่อนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้จริง

 


     “ทั้งหมดนี้เป็นโรดแมปที่ออราเคิลจะทำกับมหาวิทยาลัยรังสิตในระยะยาว หลักสูตรเหล่านี้ไม่ได้ทำแล้วจบเลย แต่เป็นความร่วมมือระยะยาวที่จะเกิดขึ้นต่อไปอีกในอนาคต”


     ภายใต้โครงการนี้ มหาวิทยาลัยรังสิตจะรวมเทคโนโลยีคลาวด์ของออราเคิลไว้ในหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยจะครอบคลุมเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวกับ Oracle Autonomous Data Warehouse Cloud, Oracle Cloud Infrastructure, Business Analytics, การพัฒนาแอปพลิเคชัน และอื่นๆ ปีแรกมีนักศึกษาเข้าอบรมในหลักสูตร 160 ราย ซึ่งในเร็ววันนี้จะได้สัมผัสกับระบบฐานข้อมูลอัตโนมัติ ที่ออราเคิลการันตีจุดเด่นเรื่องฟีเจอร์การเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อแก้ไขให้ระบบเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน ก็รักษาความปลอดภัยระบบได้เอง ที่สำคัญคือ สามารถซ่อมแซมตัวเองได้


   

     ผู้บริหารออราเคิลยอมรับว่า แม้โครงการนี้ของออราเคิลมีลักษณะคล้ายกับกลยุทธ์ของไมโครซอฟท์ ซึ่งมอบแพลตฟอร์มให้นักเรียนนักศึกษาไทยได้ใช้งานด้านการศึกษาฟรี เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้ผู้ใช้คนรุ่นใหม่ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำงานจริง แต่ความต่างของโครงการคือ ออราเคิลต้องการให้นักศึกษาไทยลงมือพัฒนานวัตกรรมสตาร์ทอัปได้ด้วยความรวดเร็ว ยืดหยุ่นสูง แต่ไม่ต้องใช้ทุนมากอย่างที่เคย


     “ความร่วมมือนี้จึงเกิดขึ้นมาให้นักศึกษาพัฒนาโปรแกรมโดยใช้เทคโนโลยีของออราเคิล” นายพัสน์นันท์ ระบุ “แม้นักศึกษาจะไม่ได้เป็นสตาร์ทอัปเมื่อเรียนจบ แต่เชื่อว่า นักศึกษาจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญสำหรับพัฒนาประเทศไทยต่อไป”

 


   

 ผศ.ดร.เชฏฐเนติ ศรีสอ้าน คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ความร่วมมือนี้จะช่วยให้นักศึกษาในชุมชนสตาร์ทอัปของมหาวิทยาลัยรังสิตไม่ต้องเสียเวลาหลายเดือนกับการลองผิดลองถูก โดยเฉพาะช่วงของการเข้าแคมป์ และพัฒนาระบบต้นแบบที่อาจกินระยะเวลานานถึง 9 เดือน นอกจากนี้ นักศึกษาที่ต้องการพัฒนาสตาร์ทอัปยังสามารถประหยัดค่าเซิร์ฟเวอร์ได้

     “การทำโครงงาน ถ้าจะทำไอที เด็กไทยไม่มีเซิร์ฟเวอร์ใช้ อเมซอน และกูเกิลมีแต่ไม่ฟรี” ผศ.ดร.เชฏฐเนติ ระบุ ข้อมูลนี้สอดคล้องต่อนักศึกษาในโครงการที่ระบุว่า สามารถประหยัดค่าเซิร์ฟเวอร์ได้มากกว่า 20,000 บาท ซึ่งค่าเช่าและค่าดูแลเซิร์ฟเวอร์ถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักของสตาร์ทอัปที่เพิ่งเริ่มจากศูนย์

 

      ผศ.ดร.เชฏฐเนติ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักสูตร Innovative Startup ว่าเกิดขึ้นเพื่อเพาะบ่มนักศึกษาตั้งแต่ปี 1 ซึ่งหากนักศึกษาชนะโครงการจะเทียบหน่วยกิตให้เลยโดยไม่ต้องเรียน ทำให้นักศึกษาสามารถจบการศึกษาได้เร็วกว่าปกติ 1 ปี แนวคิดนี้ถือเป็นสิ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ก้าวหน้า และความพร้อมที่ทำให้ออราเคิลเลือกสนับสนุนชุมชนสตาร์ทอัปของมหาวิทยาลัยรังสิตอย่างเต็มรูปแบบ และชัดเจนที่สุดเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น

 


     

     ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยรังสิต ริเริ่มทำโครงการสตาร์ทอัปเป็นปีที่ 2 สถิติคือ มีนักศึกษาสามารถจัดตั้งธุรกิจได้จริง 8 บริษัท เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ และสิทธิบัตรการพัฒนาถือเป็นของเด็ก จุดนี้ ผศ.ดร.เชฏฐเนติ เชื่อว่าหลักสูตรใหม่จะช่วยแก้ปัญหาวิทยานิพนธ์ขึ้นหิ้ง และปัญหานักศึกษาปี 4 ทำวิทยานิพนธ์ไม่ทันได้ เพราะหลักสูตรนี้เปิดโอกาสให้นักศึกษามีโอกาสเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1 ซึ่งในอนาคต แนวคิดการเรียนปริญญาตรีในระยะเวลา 2 ปีอาจทำได้จริง สัดส่วนนักศึกษาในโครงการที่จบการศึกษาแล้วยึดอาชีพเป็นสตาร์ทอัปนั้นมีสัดส่วนประมาณ 20% อีก 80% เป็นลูกจ้าง จุดนี้ผู้บริหารทั้ง 2 องค์กรตั้งความหวังว่าสัดส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 


     

     ความเคลื่อนไหวของออราเคิลในครั้งนี้ตอกย้ำว่า ออราเคิลมองเห็นโอกาสเติบโตในตลาดภาคการศึกษา รวมถึงโอกาสสร้างบุคลากรที่มีความรู้ในเทคโนโลยีของออราเคิลแบบระยะยาว โดยที่ผ่านมา ภาคการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักที่ออราเคิลมีอยู่ในมือ นอกนั้นเป็นหน่วยงานราชการและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น สถาบันการเงิน และโทรคมฯ


     สำหรับบทบาทการสนับสนุนชุมชนสตาร์ทอัปอย่างเต็มรูปแบบ ออราเคิลมีแผนขยายไปยังเวียดนามในปีหน้า โดยที่ผ่านมา ออราเคิลมีการจัดคลาสอบรมนักศึกษาโดยบุคลากรของออราเคิลทั้งที่สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่มหาวิทยาลัยรังสิต ถือเป็นความร่วมมือในการสนับสนุนชุมชนสตาร์ทอัปที่ชัดเจนที่สุดครั้งแรกของออราเคิล

 

"

ผู้จัดทำ

บทความที่คุณอาจสนใจ