ส้มตำเชียร์ลีดดิ้งคืออะไร? อยู่ที่ไหน? อร่อยจริงหรือเปล่า? วันนี้มีคำตอบ..
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบเสิรซ์หาของกินอร่อยๆ ในกรุงเทพฯ “ส้มตำอมร” เป็นหนึ่งร้านที่ปรากฎให้เห็นกันบนแอพพลิเคชั่นที่คุณค้นหาอย่าง Wongnai หรือรีวิวร้านอาหารต่างๆ อย่างแน่นอน เพราะร้านนี้ไม่ธรรมดา นอกจากรสชาติอาหารที่แซ่ปเว่อร์แล้ว พ่อครัวยังแซ่ปอีกด้วย เพราะอดีตเป็นถึงนักกีฬาทุนเชียร์ลีดดิ้ง มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ใช้ชีวิตโกอินเตอร์มากว่า 8 ปี ก่อนเบนเข็มเปลี่ยนทิศทางมาทำธุรกิจเป็นของตัวเอง
รู้จักเจ้าของร้าน “ส้มตำอมร”
ชายร่างสูงใหญ่ยิ้มแย้มออกมาต้อนรับ ทักทายลูกค้าอย่างน่ารัก เป็นกันเองคนนี้ มีชื่อว่า นนทกานต์ ซ้ายกาละคำ หรือ "ยอดดอย" เจ้าของร้านส้มตำอมร ช่องนนทรี (Somtam Amorn Chongnonsi) ร้านส้มตำชื่อดังโดนใจวัยรุ่น วัยทำงาน ที่ตั้งโดนเด่นริมถนนย่านพระราม 3 กรุงเทพฯ นี่เอง
ย้อนอดีต ‘ยอดดอย เป็นศิษย์เก่าคณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักกีฬาทุนของชมรมเชียร์ลีดดิ้ง ยอดดอยเล่าว่า “ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียน ปวส. อยู่ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีสันตพล จ.อุดรธานี ด้วยความที่สมัยนั้นเชียร์ลีดดิ้งเป็นกีฬาที่ได้ความนิยมสูงมาก ซึ่งจะเห็นว่ามีการจัดการแข่งขันมากมายทั้งระดับชาติและนานาชาติ ขณะนั้น ส่วนตัวเป็นคนชอบทำกิจกรรม และก็เป็นสมาชิกทีมเชียร์ลีดดิ้งของโรงเรียนด้วย ในปี พ.ศ. 2544 ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกอบรมเชียร์ลีดดิ้ง (Cheerleading Workshop) ครั้งนั้นจัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงมีโอกาสได้เจอกับหัวหน้าโค้ชผู้ฝึกสอนของชมรมเชียร์ฯ ม.รังสิต เป็นครั้งแรก หลังจากผ่านมาหลายปีมีโทรศัพท์สายตรงจากโค้ช ม.รังสิตแนะนำชักชวนให้มาสมัครคัดเลือกทุนนักกีฬา และเข้าชมรมเชียร์ลีดดิ้งมหาวิทยาลัยรังสิต”
“ผมยื่นใบสมัครไปกับทางชมรมฯ ในใจก็แอบคิดว่าคงไม่ได้หรอก เพราะมีคนสมัครก็เยอะมาก และเป็นปีเดียวที่มีผู้เข้าสมัครเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์ ผมยังจำภาพนั้นได้ดี แค่เฉพาะเด็กในกรุงเทพฯ รวมถึงนักกีฬาฝีมือดีๆ ดีกรีแชมป์ประเทศไทยหลายคน ในครั้งนั้นมีนักกีฬายิมนาสติกทีมชาติไทยเข้าร่วมด้วยถึง 3 คน ซึ่ง ม.รังสิตให้สิทธิ์ได้แค่ 7 คน ผมได้แต่คิดว่าทุนฯนั้นคงมาไม่ถึงเราแล้วหล่ะ!! แต่ด้วยคุณสมบัติของเราเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่กล้ามเนื้อดี ดูแล้วฝึกฝนอีกนิดหน่อยก็น่าจะไม่ยากอะไรมั้ง เลยได้รับโอกาสจากคณะกรรมการพิจารณาทุนฯ ทำให้ผมผ่านการคัดเลือกและผมถือว่าเป็นบททดสอบที่โหดและหินที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ แน่นอนสุดท้ายผมได้เข้ามาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต แถมพ่วงด้วยนักศึกษาทุนกีฬาเชียร์ลีดดิ้งอีกด้วย”
โชคดีจริงๆ ได้เข้ามหาวิทยาลัยนี้ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่
ชีวิตการเป็นนักศึกษาที่นี่ นอกจากความรู้ในสาขาวิชาที่เลือกเรียนในคณะบริหารธุรกิจแล้ว การสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยในฐานะนักกีฬาก็ต้องทำควบคู่กันไป เช้าถึงบ่ายเข้าเรียนตามปกติ ตกเย็นกระทั่งมืดค่ำก็ไปซ้อมเชียร์ลีดดิ้งเพื่อเก็บตัวซุ่มซ้อมสำหรับการแข่งขันรายการต่างๆ เรียกว่าเก็บกันทุกแมช ทุกเวทีสำคัญๆ ซึ่งมหาวิทยาลัยรังสิตก็ไม่น้อยหน้าใคร สำหรับการแข่งขันเชียร์ลีดดิ้ง
แน่นอนระหว่างที่เรียนไปด้วยซ้อมไปด้วย ก็มีหลายโปรแกรมที่ยอดมีโอกาสเข้าร่วมแข่งขันกับทีมเชียร์ลีดดิ้งมหาวิทยาลัยรังสิต และร่วมคว้ารางวัลมาได้ อาทิ แชมป์รายการ Seacon Square National Cheerleader Contest 2 สมัย รองแชมป์รายการ Red Bull Extra Boom และแชมป์ รายการ To Be Number One 2 สมัย เป็นต้น
นี่เป็นจิตวิญญาณที่ถูกหล่อหลอมในตัวของยอด..
ในฐานะนักกีฬาเชียร์ลีดดิ้ง หนึ่งในทีมผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยรังสิต
ชีวิตดี๊ดี...โกอินเตอร์
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมระหว่างทางที่เรียนช่วงมหาวิทยาลัย นอกจากเรียนอย่างหนักหน่วงโดยตั้งเป้าให้จบภายใน 2 ปีตามกำหนด ประกอบกับงานแสดงโชว์ ออกรายการทีวีต่างๆ รวมถึงอีกบทบาทหนึ่งนอกจากการเป็นนักกีฬาแล้วยังเป็นโค้ชให้กับทีมเชียร์ฯ โรงเรียนมัธยมอีกด้วย ซึ่งทำให้เรามีเวลาน้อยกว่าคนอื่นมากๆ สุดท้ายก็สามารถบรรลุเป้าหมายกับการคว้าปริญญามาครอบครองได้สำเร็จ
การเริ่มต้นทำงานในชีวิตจริง เริ่มต้นงานแรกกันด้วยการเป็นหนุ่มแบงค์ ทำงานประจำที่ธนาคารแห่งหนึ่งได้ไม่นาน เพราะเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ชอบทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลาและไม่ชอบการทำงานที่เป็น Routine จึงตัดสินใจลาออก จากนั้นได้เจอเพื่อนเก่าเชียร์ลีดเดอร์ทีมมหาวิทยาลัยาจากสิงคโปร์ ได้เคยมาทำการฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนเทคนิคต่างๆที่ม.รังสิตด้วยกันมาแล้วหลายครั้ง จึงได้รับการชักชวนจากทีมเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย Nanyang Technological University (NTU) ประเทศสิงค์โปร์ ให้ไปทำงานเป็นโค้ชผู้ฝึกสอนประจำทีมที่นั่น และการเดินทางนี้ก้หวนกลับมาอีกครั้งสู่วงการเชียร์ลีดเดอร์ ฐานะโค้ชทีใเชียรืลีดดิ้งอย่างเต็มตัวและเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับโอกาสนี้
เพราะมีเพื่อนดี คอนเน็กชั่นดี..สมัยเรียนที่ RSU
โอกาสจึงนำพามาซึ่งประสบการณ์แบบไม่ทันตั้งตัว...
ที่นี่ ยอดดอยสามารถสร้างทีม สร้างฝันให้กับทีมเชียร์ลีดดิ้งมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ โดยพาทีมไปแข่งชิงแชมป์รายการ Cheerobics ซึ่งเป็นรายการใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ และสามารถคว้าแชมป์ 3 ปีซ้อน เรียกว่าสร้างผลงานสร้างชื่อให้กับมหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก เส้นทางที่โลดแล่นของยอดกับการเป็นโค้ชเชียร์ลีดดิ้งยังคงสว่างไสว หลังจากที่ NTU ไม่ได้ต่อสัญญาว่าจ้างแล้ว ยอดดอยได้รับคำเชิญให้มาช่วยทำทีมให้กับ KR Steppers (Kent Ridge Hall) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยประจำชาติสิงคโปร์ National University of Singapore (NUS) และเป็นทีมเล็กๆได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังชื่อดัง “Bring it On” เด็กๆกลุ่มนี้ไม่ใช่ทีมมหาลัยวิทยาลัยแต่เป็นทีมมีความฝันที่อยากจะเป็นแชมป์ของประเทศ หน้าที่ของยอดคือ สร้างทีม จากทีม no-name กลายเป็นทีม well-known ทันที ทั้งที่ก่อนหน้าที่ยอดจะเข้ามาทำทีมนี้ พวกเขาไม่เคยได้แชมป์รายการใดๆเลย
ด้วยสปิริตและจิตวิญญาณนักสู้ที่มีอยู่ในตัวบวกกับความพยายามของเราจึงทำให้สามารถพาเด็กทีมเล็กๆทีมนี้ไปให้ถึงฝั่งฝัน โดยปีแรกเราขยับจากอันดับที่ 4 ของประเทศในปีก่อน พาทีมได้รับรางรองแชมป์ระดับประเทศ และในปี 2556 ก็สามารถคว้าแชมป์แรกให้กับทีมได้สำเร็จ และที่สำคัญคือโค่นล้มทีม NTU ซึ่งเป็นทีมแชมป์เก่าและแชมป์ 3 สมัยซ้อนที่ยอดเคยสอนมาก่อนหน้านี้ นอกจากนี้อีกหนึ่งโอกาสที่ยิดได้รับ คือ การได้รับการติดต่อขอโค้ชผู้ฝึกสอนผ่านมาทางชมรมเชียร์ฯม.รังสิต (RSU international Cheerleading Center) ให้ไปช่วยสอนทีม Seri bintang Utara School (Shirtliff) ในกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย แต่คราวนี้เป็นทีมหญิงล้วน เมื่อได้เข้าไปฝึกสอนผลการแข่งขันคือ ยอดสามารถพาทีมหญิงล้วนทีมนี้กลับมาทวงแชมป์คืนได้สำเร็จในรอบ 4 ปี รายการแข่งขันชิงแชมป์ระดับประเทศของมาเลเซีย ประสบการณ์ชีวิตกว่า 8 ปีที่ยอดเป็นโค้ชให้กับทีมต่างประเทศและสร้างผลงานได้ดี เป็นบทพิสูจน์ที่มีคุณค่ามาก
“นี่แหละ ผมเรียกมันว่าการชนะใจตัวเอง และท้าทายความสามารถมากที่สุด”
‘ส้มตำอมร...ส้มตำเชียร์ลีดดิ้ง RSU
เมื่อชีวิตมีขึ้น ก็ต้องมีลง บนเส้นทางการเป็นโค้ชก็เหมือนวัฎจักร ทีมเก่าไปทีมใหม่มา ถามว่า..เราจะมีพลังเริ่มต้นวัฎจักรแบบนี้ได้นานเท่าไร?
ด้วยคำถามที่ผุดขึ้นในใจ ทำให้ยอดเริ่มไตร่ตรองเป้าหมายในชีวิตอีกครั้งว่า ก่อนตัดสินใจมาเป็นโค้ช เรามาทำอะไร มาเพื่อใคร และคำตอบสุดท้ายที่ได้คืออะไร? ระหว่างทางการคิดไปคิดมาของยอด ก็มีจังหวะเล็กๆที่ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะกลายเป็นจังหวะที่ใหญ่สำหรับยอด เมื่อการกลับบ้านช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัยในสิงคโปร์ ยอดมีโอกาสมาพักสมอง เวลาว่างก็เลยเยอะ ประกอบกับเป็นคนต่างจังหวัดชอบทานส้มตำ ก็เลยเสนอตัวเพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบเพื่อตำส้มตำ พอที่บ้านได้ชิมบอกว่าอร่อย เลยมีความคิดหารายได้ขำขัน ตั้งโต๊ะขายส้มตำหน้าร้านเสื้อผ้าเล็กๆของพี่สาว
3 ชั่วโมงผ่านไป ไม่มีคนซื้อเลย สงสัยจะไม่รุ่ง!!
พี่สาวจึงบอกเทคนิคการตลาด ให้ตำใส่ถาดไว้ให้ลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมาชิม เป็นไปตามคาดหมายทุกคนที่ได้ลิ้มชิมรสก็ต้องซื้อกลับกันทุกคน จนกลายเป็นที่เรื่องลือ คิวยาวเหยียด ขายดิบขายดี จากตรงนี้ทำให้ชุกคิดว่า นี่เราฝีมือใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย! และพี่สาวเองเล็งเห็นแล้วว่าท่าดีจึงยุให้เปิดร้านส้มตำ และประจวบเหมาะก้บงานที่ทำประจำอยู่ในตอนนั้นอยู่ในช่วงขาลง ความนิยมของกีฬาชนิดนี้ก็เปลี่ยนไป รวมถึงการสนับสนุนจากทางมหาวิทยาลัยก็ลดลงด้วย
เอาก็เอา ทำได้ก็ต้องขายได้
ขายได้ก็ต้องกินได้ เปิดร้านเลยแล้วกัน
ชีวิตยอดถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง กับการตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาเปิดร้านส้มตำ ที่ชื่อว่า “ส้มตำอมร” ซึ่งเป็นชื่อแม่ของยอดเอง ทุกอย่างเกินคาดมากเพียง 5 เดือนของการเปิดร้านเท่านั้น ทั้งลูกค้าเดิมก็ตามหา ลูกค้าใหม่ก็ติดใจ...จากตั้งโต๊ะขายหน้าร้านเสื้อผ้าของพี่สาวก็ย้ายมาเช่าห้องแถวเปิดร้านจริงจัง
เรียกว่าวันนี้ “ส้มตำอมร” ของยอด มาไกลมาก ด้วยรสชาติที่อร่อยเหาะ เมนูส้มตำแบบต้นตำรับชาวอีสานแท้ๆ ผสมกับการคิดเมนูขึ้นมาใหม่ของยอดเอง รวมถึงวัตถุดิบที่คัดสรรชนิดที่เรียกว่าคุณภาพ คืนกำไรให้ผู้บริโภค เป็นที่ถูกปากถูกใจของคนทุกเพศทุกวัย จนกลายเป็นการตลาดแบบปากต่อปากนี่เองทำให้ผู้คนต่างผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามารับประทานส้มตำที่ร้านจนต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนมารับประทาน และเป็นอย่างนี้ทุกวันตั้งแต่เปิดร้านจนมาได้ระยะเวลากว่า 1 ปี 9 เดือน
ปัจจุบันส้มตำอมร เป็นที่รู้จักทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑลจาก App รีวิวอาหารอย่าง Wongnai, OpenRice, Opensnap, TripAdvisor ก็มี Google รีวิวกระทู้ต่างๆ มากมาย ลูกค้าสามารถสั่งอาหารออนไลน์ผ่าน Lineman, Grab bike สำหรับลูกค้าทรู True Card และ Dtac Rewards สามารถรับส่วนลดค่าอาหาร 10 % ที่เคาน์เตอร์ได้เลยทุกเมนู และในอนาคตอันใกล้นี้เราจะได้เห็นการขยายธุรกิจของร้านส้มตำอมร อาทิ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์น้ำปลาร้าทำเอง ภายใต้แบรนด์ “ตุ๊ดตำ” (TUDTAM) ซึ่งตอนนี้กำลังเดินเครื่องผลิตน้ำปลาร้าเพื่อทยอยออกมาให้ลูกค้าได้ลองชิม หลังจากทานเสร็จที่ร้านแล้วหากเกิดติดใจในรสชาติ ก็สามารถหยิบติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านได้อีกด้วย พร้อมกับแอพลิเคชั่นสั่งอาหารจากมือถือของลูกค้าเอง ที่จะมีในร้านส้มตำอมรเป็นที่แรก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนา อีกด้วย สุดยอดจริง...
“เมื่อทำอะไรแล้ว ทำให้ดีและทำให้สุด ทุกอย่างอยู่แค่เอื้อมจริง จริง...” ยอดกล่าว
ย้อนอดีตวันวาน "ยอดดอย"
"