ใครหลายคนอาจคิดว่าเรียนดนตรี สบายจะตาย วันๆ เล่นแต่ดนตรี ร้อง เล่น เต้น กันไปตามประสาจะเอาอะไรไปสู่เด็กสายอื่นๆเขาได้...
มันไม่จริงเลย!! กว่าจะเรียนจบออกไปเป็นนักดนตรีได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยโดยเฉพาะที่วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต
จริงจังแค่ไหน? พี่ๆ ทั้ง 6 คนจากครอบครัวคนดนตรี ขอแชร์ประสบการณ์จากการเรียนที่ไม่ใช่แค่เรียนๆ เล่นๆ แต่ต้องเรียนให้ดี เรียนให้ได้ และเพคเฟกด้วยกิจกรรมเพื่อการก้าวสู่การเป็น “นักดนตรี” ที่สมบูรณ์แบบที่สุด
คนแรก ณภัทร กิตติวิไลลักษณ์ ชื่อเล่น มาร์ท นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาดนตรีแจ๊สศึกษา (Jazz Studies) เครื่องเอกกีต้าร์ไฟฟ้า ปัจจุบันได้เกรดเฉลี่ย 3.81 เลือกเรียนที่วิทยาลัยดนตรีเพราะว่าได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์วิทยาลัยมาจากรุ่นพี่ และได้มีโอกาสดูการแสดงดนตรีของวิทยาลัยด้วย ทำให้ผมมั่นใจที่จะเลือกเรียนที่นี่เมื่อเข้ามาแล้วก็ตั้งเป้าก่อนครับ ด้วยผมมี Julian Lage มือกีต้าร์แจ๊สเป็นไอดอล ทำให้อยากเป็นมือกีต้าแจ๊สบ้าง แน่นอนว่ากว่าจะไปถึงขึ้นนั้น ผมต้องทั้งเรียนทั้งซ้อมค่อนข้างหนัก แม้จะต้องนั่งดีดกีต้าร์อยู่ทั้งวันก็ตาม และที่นี่นักศึกษาทุกชั้นปีจะมีกิจกรรม/การแสดงตลอดให้ได้โชว์ตลอด ไม่ค่อยว่างไปเตร็ดเตร่คณะอื่นๆเลยครับ ต้องจัดตารางเวลาของแต่ละวันให้ดี พลาดไม่ได้ทั้งเรียนและงานแสดง ทุกการแสดงต้องเต็มที่จริงจัง มิฉะนั้นอาจจะไม่ผ่านตาอาจารย์ได้ครับ
อย่างไรก็ตาม “การมีโอกาสได้แสดงในงานต่างๆ ทำให้ผมรู้สึกสนุกและมีความสุขกับทุกโชว์ที่ได้เล่น ทุกๆงานจะมีบรรยากาศที่ต่างกัน ผู้ชมที่ต่างกัน ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไปกับทุกๆงานที่ได้เล่น”
จิรณัฐ จรียะธนา หรือ น้ำ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการผลิตดนตรี (Music Production) เกรดเฉลี่ย 3.52 เลือกเรียนดนตรีเพราะเสียงดนตรีทำให้เรามีความสุขเลย ส่วนตัวชื่นชอบ Eric Clapton เพราะเป็นคนดนตรีที่สามารถเล่นดนตรีและส่งมาถึงคนฟังได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งในด้านเทคนิคการเล่นกีตาร์ที่เรียบง่ายแต่มีคุณภาพ เนื้อร้องที่สื่อถึงคนฟังให้เข้าใจได้อย่างง่าย ดังนั้นผมเองก็คิดว่าผมจะมีความสุขมากที่ได้เล่น ได้ทำเพลงให้คนอื่นได้ฟังผลงานของเราเอง เหมือนเป็นการแบ่งปันความสุขให้กับคนฟัง เวลาคนดูคนฟังมีความสุข สนุกกับเพลงเรามันก็ทำให้เรามีความสุขที่ได้ทำออกไปเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ผมต้อง่ผ่านด่านการเรียนที่เข้มข้น และลึกซึ้ง ผมต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่ พยายามจดและจำสิ่งที่ได้เรียนจากอาจารย์ไว้ทุกอย่าง เพื่อที่เวลากลับมาทบทวนเราจะได้เข้าใจและจับจุดได้ ส่วนเวลาที่นอกเหนือจากการเรียนก็ไม่ได้เว้นว่างมากนัก เราต้องทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และวิทยาลัยอีกด้วย
ดังนั้น ต้องบอกว่าเด็กดนตรีที่นี่ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบสูง ดนตรีคือการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของนักดนตรีทุกคน เพราะทุกการแสดงต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพ ทุกกิจกรรมจะเป็นการฝึกฝนตัวเราโดยมีคนดูเป็นผู้ตัดสินว่าชอบหรือไม่ชอบ กว่าที่จะจบออกไปได้นั้นเราทุกคนต้องเวทีอีกมากมายและนี่คือบทพิสูจน์อาชีพของเรา
ต่อมา ปลื้ม-นนทพัทธ์ ชื่นวาริน นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการแสดงดนตรี (Music Performance) เครื่องเอกเชลโล่ เกรดเฉลี่ย 3.10 ผมเป็นนักศึกษาทุนความสามารถ ผมชอบที่วิทยาลัยดนตรีที่ม.รังสิต มาก มีความคิดว่าอยากเข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านดนตรีที่นี่ ตัวผมมี James Dean เป็นไอดอลที่ชอบมากๆ และสักวันผมก็จะเป็นศิลปินสร้างสรรค์ศิลปะในสายที่ผมเลือก การเรียนดนตรีที่นี่ ต้องบอกว่าบรรยากาศอบอุ่นมาก ช่วงที่มีงานและต้องเล่นโชว์ในงานคณะ เป็นช่วงที่จะได้เจอหน้าเพื่อนพี่น้องครบทุกคน มาช่วยกันยกของ ขนย้ายเครื่องดนตรี อุปกรณ์ไปที่ทำการแสดง เป็นโมเม้นที่เหนื่อยแต่สนุก ยกไปเล่นไปแซวกันตลอดทาง ผมว่าการมีกิจกรรมแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นแบบบอกไม่ถูก อย่างน้อยก็ได้สนิทกับเพื่อนๆ มากขึ้น และทุกครั้งที่ได้เป็นตัวแทนแสดงในงานต่างๆ ผมรู้สึกภูมิใจตัวเองที่อาจารย์ไว้วางใจให้เราทำหน้าที่ และทุกครั้งก็จะทำอย่างเต็มที่
ส่วนหลักสูตรของวิทยาลัยดนตรีจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ปฏิบัติและทฤษฎี จริงๆแล้วผมอ่อนทฤษฎีมาก ผมจึงใช้เวลานอกห้องเรียน พักเที่ยงหรือหลังเลิกเรียน ขอความช่วยเหลือจากอาจารย์และเพื่อนๆ เพื่อทบทวนค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะไม่ใช่จะผ่านกันง่ายๆ ถึงเป็นนักดนตรีจะเล่นอย่างเดียวไม่ได้ต้องเข้าใจทฤษฎีและเนื้อหาอื่นๆประกอบกันไป ทำให้ต้องทบทวนด้วยตัวเองบ่อยๆ และจะเริ่มซ้อมหลังจาก 17.00 น. เป็นต้นไปจนกว่าจะพอใจ จนกว่าจะเล่นได้ครับ
ดิว-อรุณพงศ์ ชัยวินิตย์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาการผลิตดนตรี (Music Production) กับเกรดเฉลี่ย 3.41 ส่วนตัวผมได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกิจกรรม Jazz Camp ที่วิทยาลัยดนตรีแล้วรู้สึกถึงความน่าอยู่ของบรรยากาศ สังคมครอบครัวดนตรีที่นี่ อีกอย่างหลักสูตรของวิทยาลัยดนตรีที่น่าสนใจมาก อาจารย์ทุกคนมีคุณภาพมีความเป็นครอบครัวคอยดูแลกันเหมือนลูกหลาน เป็นพี่เป็นน้องกันทำให้อบอุ่น ส่วนตัวผมบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากเป็นนักดนตรี คือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงมี พระอัจฉริยภาพด้านดนตรี ซึ่งสิ่งนี้เชื่อว่าปวงชนชาวไทยคงทราบกันดีอยู่แล้ว แต่พระองค์ท่านยังมีพระอัจฉริยภาพอันหลากหลาย ทั้งด้านการถ่ายภาพ พระปรีชาสามารถด้านกีฬา ด้านการช่าง ด้านจิตรกรรม และด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นแรงบันดาลใจทำให้ผมตัดสินใจมาสมัครเรียนปริญญาตรีอีกใบหนึ่งด้านนี้ พอได้มาเรียแล้วต้องบอกว่ามันคือความสุขจริงๆ ครับ ทำให้เรารู้ว่าชีวิตของเราจะมีความสุขกับอะไรได้บ้าง มันคือความสุขของคนร้องเพลงที่ได้ให้ความสุขกับคนดู แล้วเมื่อคนดูมีความสุขกับสิ่งที่เราทำมันมีความสุขมากยิ่งขึ้น ผมทำงานด้วยเรียนไปด้วย ก็ต้องยอมรับว่าถ้าเลือกทำงานด้วยเวลาที่จะพุ่งความสนใจในการเรียนอาจจะลดลงไปบ้าง ก็ต้องหาเวลาที่จะทำการบ้านมากขึ้น ซ้อมในส่วนที่เราอาจจะไม่ได้ซ้อมเหมือนเพื่อน อาจจะมีเวลาที่จะพักน้อยกว่าแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกกิจกรรมมันคือการสั่งสมประสพการณ์ที่จะทำให้เราพัฒนาขึ้นในฐานะคนดนตรีครับ
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเลือกทำอะไรก็ต้องคิดให้ดีก่อนว่าเราทำไหวจริงๆไหม ถ้าประเมินแล้วมันไปด้วยกัน ได้ทำงานได้ร้องเพลงถึงจะหนักหน่อยแต่เพื่อเป็นคนดนตรีที่มีคุณภาพก็โอเคครับ
คนที่สาม เสฏฐวุฒิ มิลตัน ชื่อเล่น พิน นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาการแสดงดนตรี (Music Performance) เครื่องเอกไวโอลิน เกรดเฉลี่ย 3.69 ผมมีความตั้งใจอยากเข้ามาเรียนไวโอลินกับครูเบิร์ด “ครูเบิร์ด คือ ไอดอลในดวงใจ” พอได้เข้ามาเรียนที่นี่แล้ว สนุกมากครับทั้งการเรียนและกิจกรรม สำหรับผมในการเรียนดนตรี ผมคิดว่าการซ้อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากลำดับต้นๆ ของนักดนตรีก็ว่าได้ ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการจัดการเวลาของตัวเองให้ดี แล้ววิเคราะห์ว่าในแต่ละวันจะสามารถซ้อมช่วงไหนได้บ้าง แต่ละช่วงจะซ้อมอะไรเป็นหลัก ตัวย่างเช่นผมจะซ้อมสเกลทุกเช้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จากนั้นจะซ้อมแบบฝึกหัดหรือเพลงอีกครั้งหลังเลิกเรียน และทำกิจกรรมต่างๆ ประมาณ 4 ชั่วโมงตั้งแต่ 18.00-22.00 น. เป็นประจำเช่นนี้ทุกวันครับ นอกจากการซ้อมแล้ว หากวันไหนผมรู้สึกว่าเรียนตามบทเรียนในห้องไม่ทันหรือไม่เข้าใจ ผมก็จะต้องเผื่อเวลานั่งทบทวน ฝึกซ้อม แล้วก็ทำความเข้าใจก่อนที่จะไปซ้อมต่อ หรือทำอย่างอื่น
ผมมีคติว่า หากเรามีเวลาซ้อมที่มากพอบวกกับความใส่ใจกับสิ่งที่เลือก ผมคิดว่าเราสามารถทำเรื่องเรียนและกิจกรรมออกมาได้ดีทั้งสองอย่างพร้อมกัน ถึงแม้จะหนักแต่ต้องอดทนและต้องไม่พลาดโอกาสใดโอกาสหนึ่ง
สุดท้าย ปฏิทัศน์ จันทนากร หรือ เฟรน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการแสดงขับร้องละครเพลง (Vocal Performance) เกรดเฉลี่ย 3.10 ผมเป็นคนชอบร้องเพลง มีความฝันอยากสร้างเสียงเพลงและก็มาตามความฝันนั้น วิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นที่เดียวที่มาสอบเพราะรู้จักรุ่นพี่ในคณะ ที่ให้ข้อมูลว่าที่นี่อบอุ่น มีแต่อาจารย์เก่งๆ ครับ ผมมี พี่ตูน Bodyslam เป็นแรงบันดาลใจในแบบนักร้องนักดนตรีที่สมบูรณ์แบบ พอได้เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยดนตรีผมรู้สึกได้รับโอกาส ได้ลองผิดลองถูก เป็นอะไรที่หาไม่ได้ง่ายๆ จากโลกภายนอก ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้ร้องเพลงกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และอาจารย์ การจัดตารางเรียนของผมจะพยายามแยกวิชาเรียนกับกิจกรรมออกจากกันครับ จะเน้นซ้อมเยอะมากๆ ซึ่งตรงนี้จะจัดตารางซ้อมอย่างสม่ำเสมอ และที่ขาดไม่ได้ คือ พยายามไม่ขาดเรียนครับ
โอ้โห! บอกแล้วเด็กดนตรี
ที่วิทยาลัยดนตรี ม.รังสิต ไม่ธรรมดา! เรียนก็ดี กิจกรรมก็เลิศ
"