เรียนตรีถาปัตย์ มาต่อโทบริหารฯ เปลี่ยนเพื่อเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตจริง

23 Jul 2020

แจนนี่-หทัยทิพย์ อรกูล (แจน เลนนอล) ศิษย์เก่าปริญญาตรีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และปัจจุบันศึกษาต่อคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต เธอเป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง เธอเป็นคนมุ่งมั่น ตั้งใจ และมองหาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ อดีตสาวนักกิจกรรมสู่ตำแหน่ง Co-Founder บริษัท Robotel และบริษัท GebGiew (เก็บเกี่ยว) อะไรทำให้เธอไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง?

ย้อนกลับไปสมัยนักศึกษา แจนนี่ เป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรของคณะ เธอมักจะเข้าร่วมอยู่เสมอไม่เว้นแม้กระทั่งการแสดงละครเวทีเธอก็ไม่เคยพลาดเช่นเดียวกัน ชีวิตระหว่างเรียนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เติมเต็มความสุขให้กับเธอคนนี้ไม่น้อย นอกจากจะเป็นเด็กสายกิจกรรมแล้วในด้านวิชาการเธอก็ไม่ทิ้ง เธอมีโอกาสได้เป็น Teacher Assistant ARC154 และ Teacher Assistant Toy Arch ร่วมแบ่งปันวิชาความรู้ในด้านที่เธอถนัดให้กับคนอื่นๆอีกด้วย และก่อนที่เธอจะเรียนจบยังมีผลงานบการเข้าร่วมการแข่งขันประกวดแบบ Amazon Awake Award 2016 ในระดับมหาวิทยาลัยทั้งประเทศ ซึ่งเธอได้ร่วมกับเพื่อนจากคณะดิจิทัลอาร์ต สร้างสรรค์งานออกแบบและสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ อันดับที่ 5 กลับมาให้มหาวิทยาลัยได้ภาคภูมิใจ เรียกว่าใช้ทุกช่วงเวลาคุ้มค่ามากจริงๆ

 

“การเริ่มต้นงานที่ไม่ตรงสาย ไม่ได้หมายความว่าเรารักมันน้อยลง เรายังคงหลงใหลในความเท่ ความเซ็กซี่ของ Architecture แต่นอกจากสถาปัตย์แล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราก็ชอบ และอยากลองทำเช่นเดียวกัน”

 

 

หลังจากที่เธอเรียนจบก็ได้รับโอกาสจาก CMO บริษัท จำกัด มหาชน ทาบทามให้เธอร่วมงานด้วยในสายงาน Marketing Communication แต่ทว่าสายงานดังกล่าวไม่ตรงกับสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมา จึงทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตของการทำงานครั้งนั้น “งานแรกที่ทำเริ่มต้นจาดสายงาน Marketing เนื่องจากสมัยเรียนปริญญาตรีสถาปัตย์ที่ ม.รังสิต มีโอกาสได้ทำงาน Freelance ให้กับบริษัทนี้ พอเรียนจบจึงอยากลองดู เพราะมองว่าน่าจะสนุกดี และมีความท้าทาย จุดเปลี่ยนของชีวิตนี้เองที่ได้ทำงาน Digital Marketing เต็มตัว แต่ด้วยความที่เราไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ทักษะความรู้ต่างๆ ก็จะน้อยกว่าคนอื่น เราเลยต้อง Active มากขึ้น หาความรู้ ฝึกทักษะทุกอย่างให้ไม่ด้อย และไม่เป็นภาระของทีม ปรากฏว่าตัวเรารู้สึกสนุกกับการทำงานเรียกได้ว่าทำงานอย่างบ้าคลั่งเลย และอ่านหนังสือเยอะมากๆ เรียนเยอะมากทั้งทาง Online Class และ Workshop ต่างๆ ทำให้เราเองกลายเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือไปโดยอัตโนมัติ”

ด้วยความมุมามะที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบ ทำให้เธอนั้นตัดสินใจที่จะลงเรียนปริญญาโท ด้านบริหาร สาขาการจัดการการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ทางด้านงานบริหารมาปรับใช้ในการดูแลงานของทั้ง 2 บริษัท และล่าสุดปีนี้เองเธอมีแผนที่จะเรียนต่อระดับปริญญาเอกด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ ที่ ม.รังสิต ที่เลือกที่นี่เพราะเป็นมหาลัยที่คุ้นเคย และความไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพในตัวเอง จนเธอนั้นกลายเป็นคนที่ บริษัทต้องการร่วมงานด้วยมาก อย่างบริษัทที่ติดอันดับ 7 ในเอเชียแปซิฟิกได้ติดต่อให้ไปร่วมงานด้วยในตำแหน่ง Account Manager แต่เธอก็เลือกปฏิเสธเพียงเพราะเธอต้องการที่จะทุ่มเทและเตรียมความพร้อมไปกับการเรียนปริญญาเอกให้เต็มที่เสียก่อน

 

 

 

เมื่อถามถึงมุมมองของการเรียนในระดับที่สูงขึ้น หลายๆ คนอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป บ้างมองว่าใบปริญญาคือใบเบิกทางสู่ความสำเร็จให้กับชีวิต บางคนมองเป็นแค่เพียงกระดาษธรรมดาใบหนึ่ง แต่สำหรับแจนนี่แล้วเธอบอกว่า “ใบปริญญาเป็นแค่เครื่องบ่งบอกว่าเราได้เรียนจบหลักสูตรอะไรมา เรามองว่าคนเก่งคนฉลาด ไม่ใช่แค่เป็นคนที่เรียนสูง คนที่เกรดดี คนที่จำบทเรียนได้เยอะ สุดท้ายแล้วเราวัดกันที่ผลงาน ความสามารถ และการนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมือนที่ไอสไตน์บอกว่า จิตนาการสำคัญกว่าความรู้ ตัวเราเองได้มีโอกาสด้านการศึกษาและได้เรียนในสถานศึกษาดี ๆ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว นั่นนับว่าเป็นต้นทุนอีกอย่างนึงในการนำไปต่อยอด จงอย่าหยุดพัฒนา และอย่าหมดความตั้งใจ” 

 

 

 

ส่วนการทำงานหากเรามีความตั้งใจ และเต็มที่ทุกครั้งที่ลงมือทำอะไรสักอย่าง สิ่งไหนที่เธอเลือกแล้วว่าอยากจะทำ เธอก็จะทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่ผู้หญิงคนนี้จะทำได้ ทุ่มเทกับทุกๆ อย่าง แม้จะเกิดความผิดพลาด หรือล้มเหลวเธอก็ยังคงภูมิใจในผลงานของเธอเสมอ “จงภูมิใจทุกอย่างที่ได้ทำ แม้ผิดพลาด ล้มเหลวก็ยังภูมิใจ เพราะการที่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย  ทำให้เราหาสาเหตุของความผิดพลาดนั้นเจอ แล้วให้โอกาสตัวเองทำใหม่ให้สำเร็จ สุดท้ายปลายทางคือความสำเร็จอีกครั้ง ความต่างคือ กระบวนการการทำงานของสมอง การรับรู้ การแก้ไขเพื่อพัฒนา และการให้โอกาสตัวเอง”

และในฐานะเป็นทั้งศิษย์เก่า นักศึกษาปริญญา(ปัจจุบัน)ของมหาวิทยาลัยรังสิต  เธอฝากข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ถึงรุ่นน้องหลายๆ คนที่กำลังค้นหาตัวตนที่ใช่ของตัวเองอยู่ “การทำในสิ่งที่ชอบ เรียนในสิ่งที่รัก ไม่ต้องกลัวว่าเรียนไปแล้วเราจะเลิกชอบหรืออยากที่จะเปลี่ยน เพราะเราสามารถเริ่มต้นใหม่กันได้เสมอ หรืออาจจะไปต่อให้สุด แล้วค่อยกลับไปลุยกับสิ่งใหม่ที่เราชอบอีกครั้งก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน ขอแค่เราตั้งใจมากพอ

 

 

“การที่รู้ตัวว่าคณะที่เราเรียนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อาชีพที่เราอยากทำ มันไม่น่ากลัวนะ เราสามารถฝึก หรือหาความรู้เพิ่มเติมได้ เพราะสุดท้ายการทำงานวัดกันที่ความสามารถ และประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่ใบปริญญาบัตร น้อง ๆ คนไหนที่คิดว่าตัวเองเรียนไม่เก่ง ไม่ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน อย่ารู้สึกท้อ เรามาลองเริ่มใหม่กับชีวิตการทำงาน แล้วตั้งใจให้ประสบความสำเร็จกันได้  เด็ก ม.รังสิต นอกจากมีหลักสูตรที่ดี Connection ที่ดี เรายังมีต้นทุนด้านการลงมือปฏิบัติจริง และสื่อการปฏิบัติที่ครบครันทันสมัย ทำไมเราจะสู้คนอื่นไม่ได้!!“

"

ผู้จัดทำ

บทความที่คุณอาจสนใจ