ทันตแพทย์รุทาปกร อินทร์เสวก จากหมอฟันน้อย สู่อาจารย์ทันตแพทย์

03 Aug 2018

“หมอฟัน” เป็นอีกหนึ่งอาชีพในฝันของใครหลายคน จุดเริ่มต้นของการเป็นหมอฟันของเจ้าของนามปากกา “หมอฟันน้อย” ทันตแพทย์รุทาปกร อินทร์เสวก หรือ ปอ ศิษย์เก่าวิทยาลัยทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ก็เช่นเดียวกัน หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เขาตัดสินใจเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนหมออย่างที่หวังไว้ ซึ่งถือเป็นความโชคดีที่ค้นพบตัวเองว่า ความถนัดและความชอบของเขาคือ ทันตแพทย์ แต่กว่าจะเป็นหมอฟันนั้น “หมอปอ” ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เราไปทำความรู้จักเขากันเลยดีกว่า...

 

 

อยากเรียนแพทย์ แต่มาเป็น “หมอฟัน”
ปอ จบการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย ลพบุรี หลังจากนั้นตัดสินใจที่จะสอบเข้าคณะแพทย์ตามความมุ่งหวังของครอบครัว แต่กลับไม่ได้เรียน และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนทันตแพทย์

 

“จุดเริ่มต้นไม่ได้อยากเรียนทันตแพทย์ แต่อยากเรียนแพทย์ ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีที่เราจับพลัดจับผลูได้มาเรียนทันตแพทย์ ก็ค้นพบว่าจริงๆ แล้วความถนัดและความชอบของเรามันคือทันตแพทย์ ซึ่งในขณะนั้นคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.รังสิต เปิดสอบ ผมก็มาลองดู เมื่อได้ศึกษาข้อมูลของคณะทันตแพทย์แล้วก็รู้สึกว่า วิชาทันตแพทย์มีเสน่ห์ตรงที่ว่าไม่ได้เรียนทางการแพทย์อย่างเดียว มันมีวิทยาศาสตร์และศิลปะรวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่าการที่เราจะเรียนเพียววิทยาศาสตร์หรือเพียววิทยาศาสตร์การแพทย์เหมือนกับหมอ ก็เลยตัดสินใจว่าเราน่าจะเหมาะกับทันตแพทย์มากกว่า”

 

 

ชีวิตนักศึกษาทันตแพทย์
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของปอเริ่มต้นขึ้นที่ ม.รังสิต แม้ว่าจะเป็นช่วงชีวิตที่หนักสำหรับการเรียนและการทำกิจกรรมควบคู่กัน แต่ปอสามารถบริหารทั้งสองสิ่งได้อย่างลงตัว

 

"ช่วงที่เป็นนักศึกษาทันตแพทย์ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่หนักมาก การเรียนทันตแพทย์เราไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎีอย่างเดียว เราเรียนทางภาคปฏิบัติด้วย ซึ่งการปฏิบัติเยอะมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าการเรียนทันตแพทย์สนุกเพราะผมไม่ได้เรียนอย่างเดียว ผมทำกิจกรรมไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นงานสโมสรนักศึกษาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งใน Smart Team ยุคแรกๆ ที่ ม.รังสิต มีแชทสดให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนในคณะให้แก่น้องๆ นักเรียน ม.ปลาย ที่สนใจศึกษาต่อทางด้านนี้"

 


ต้องบอกว่าเป็นการแบ่งเวลาที่ต้องมีวินัยในการเรียนค่อนข้างมาก เพราะการเรียนก็หนักกิจกรรมก็เยอะ ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนทันตแพทย์ในหลายมหาวิทยาลัย ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน 

 

 

พูดถึงทันตะ ม.รังสิต
เมื่อพูดถึงทันตแพทยศาสตร์ ม.รังสิต ต้องบอกว่าที่นี่อาจารย์กับนักศึกษาค่อนข้างมี Relationship ที่ดีต่อกันมาก ทันตแพทย์ที่นี่เราเป็นการดูแลแบบทันตกรรมพร้อมมูล ซึ่งหมายถึงคนไข้หนึ่งคนเราไม่ได้ทำแค่สิ่งที่เขาต้องการแต่ดูแลทั้งหมดในช่องปาก แต่จะเป็นแผนการรักษาระยะยาวและมีหลายขั้นตอนในการรักษา นอกจากอาจารย์จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว คนไข้ก็จะต้องเข้าใจด้วยว่าการรักษากับนักศึกษาทันตแพทย์ ม.รังสิต ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานและให้เวลากับนักศึกษาด้วย เราต่างคนต่างช่วยกัน ผมว่ามันเป็น Relationship ที่หาได้ยากในโรงเรียนทันตแพทย์ ที่ทั้งอาจารย์ ตัวเราเอง และเพื่อนจะช่วยกันเรียนในลักษณะแบบนี้

 

 

 

กว่าจะเป็นหมอฟัน
หลังจากเรียนจบทันตแพทย์ ปอ ไปทำงานที่จังหวัดชลบุรี อยู่ประมาณเกือบสองปี เขารู้สึกว่าความรู้ที่ตัวเองมีนั้นยังไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจเรียนเฉพาะทางด้านทันตกรรมจัดฟัน ที่ประเทศไต้หวัน

 

“ปอได้มีโอกาสไปเรียนต่อทันตกรรมจัดฟัน โดยได้ทุนการศึกษาตลอดการเรียน นับเป็นเรื่องที่โชคดีมาก การเรียนจัดฟันที่ประเทศไต้หวันใช้เวลา 3 ปี เป็นหลักสูตรทันตแพทย์ประจำบ้านควบกับปริญญาโท ซึ่งปอจบทันตแพทย์เฉพาะทางด้านทันตกรรมจัดฟัน และปริญญาโททางด้านทันตกรรมจัดฟันมาจาก มหาวิทยาลัยฉางกัง (Chang Gung University) ประเทศไต้หวัน หลังจากที่เรียนเฉพาะทางจบแล้ว ก็ได้มีโอกาสมาเป็นอาจารย์ประจำ มาสอนนักศึกษาทันตแพทย์ ที่ ม.รังสิต ซึ่งต้องขอขอบคุณคณบดีคณะทันตแพทย์ ม.รังสิต ที่ให้โอกาสเราได้เข้ามาเป็นอาจารย์ และทำคลินิกควบคู่ไปด้วย”

 

 

จากหมอฟันสู่อาจารย์
ตอนแรกต้องบอกว่าผมเป็นอาจารย์ที่ดุมาก ด้วยความที่ไฟแรงจบมาใหม่ เรารู้สึกว่านอกจากว่าเราจะเป็นอาจารย์แล้วเราเคยเป็นลูกศิษย์ เป็นศิษย์เก่าของคณะนี้มาก่อน แต่พอสอนไปสักพักเรารู้สึกว่าวิธีการสอนของเราอาจจะทำให้น้องๆ ไม่กล้าเข้าถึงเรา จากนั้นก็เลยค่อยๆ ปรับปรุงตัวเองมากขึ้น โดยการสอนด้วยวิธีที่มันซอฟลงก็ทำให้น้องๆ เริ่มกล้าที่จะเข้ามาถามหาความรู้จากเรามากขึ้น เลยกลายเป็นว่าเหมือนรุ่นพี่ที่สอนน้องมากกว่าเป็นอาจารย์ที่สอนน้อง

  

 

จุดเริ่มต้นของ We Smile Dental Clinic
ตอนนั้นก็คือกับเพื่อน ม.รังสิต ที่เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เราเริ่มรู้สึกว่าเราทำงานมาระยะหนึ่งแล้วอยากมีธุรกิจที่เป็นส่วนตัวของเราก็เลยหาสถานที่ทำเล แต่พอดีเพื่อนในหุ้นส่วนชอบทำเลแถวนี้ กลุ่มเป้าหมายของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนทำงาน พนักงานโรงงาน นักเรียน นักศึกษา เพราะว่าใกล้มหาวิทยาลัย คลินิกของเราเป็นคลินิกที่เน้นทางด้านทันตกรรมจัดฟัน เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้ก็เลยใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมาย นอกจากทันตกรรมจัดฟันแล้วเรายังมีหมอเฉพาะทางสาขาอื่นๆ ด้วย เป็นทันตกรรมแบบครบวงจร

  

 

เป้าหมายในอนาคต
เมื่อพูดถึงเป้าหมายในการขยายสาขา ปอเล่าว่า มีแพลนที่จะเปิดคลินิกเพิ่มเติม ขยายสาขาไปทั่วกรุงเทพ โดยเราจะรวมทีมทันตแพทย์จัดฟัน และทีมหมอผ่าตัดเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดว่าจะทำในอนาคตควบคู่ไปกับการศึกษาด้วย เพราะว่าการทำเคสพวกนี้สามารถที่จะนำความรู้ไปสอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ด้วย ซึ่งก็จะเป็นโอกาสดีที่น้องๆ ใน ม.รังสิต จะได้รับความรู้เหล่านี้ด้วย

  

 

พูดถึงพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรก “อยากเป็นหมอฟัน”
ย้อนกลับไปในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ นอกจากปอจะให้ความสำคัญกับการเรียนแล้ว เขายังมีพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกเป็นของตัวเอง ซึ่งจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนั้นก็คือ การเขียนบล็อก ในเว็บไซต์เด็กดี ที่มีพื้นที่ให้เราสามารถเข้าไปเขียนอะไรก็ได้ไม่จำกัดเรื่องราว ตอนนั้นปอเขียนเกี่ยวกับเรื่องเรียนของตัวเอง เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่คนที่เข้ามาอ่าน ต่อมาได้รับโอกาสจากอาจารย์ใน ม.รังสิต เข้ามาเห็นว่ามันมีประโยชน์จึงชักชวนให้รวบรวมเป็นหนังสือ จนสุดท้ายออกมาเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก โดยใช้นามปากกาว่า “หมอฟันน้อย” ถามว่าทำไมใช้ชื่อนี้เพราะว่า หมอฟันน้อยก็คือ ตอนนั้นเราเป็นเด็กนักศึกษาก็เป็นหมอฟันตัวน้อยๆ ที่เป็นหมอฟันที่ยังไม่โตเต็มวัย จึงใช้นามปากกานี้

 


ล่าสุดปอแอบกระซิบว่า มีโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเขียนใหม่ นั่นคือ พ็อกเก็ตบุ๊ก ข้อคิดดีๆ จากความคิดลบ ด้วยเหตุผลที่ว่า “โดยปกติแล้วส่วนใหญ่คนจะเขียนเกี่ยวกับทัศนคติดีๆ ให้มองโลกในแง่ดี แต่จริงๆ แล้วผมว่าโลกเรามีสองด้าน มีทั้งด้านบวกและด้านลบ จริงๆ ด้านลบไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีเพียงแต่ว่าเราจะสามารถที่จะเอาด้านลบมาใช้ประโยชน์อย่างไร ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและกำลังเขียนอยู่ คิดว่าอยากจะให้เสร็จในเร็วๆ นี้เหมือนกัน แต่คงต้องใช้เวลาสักพัก”

  

 

ฝากถึงรุ่นน้อง
อันดับแรกเลยคือเราต้องค้นหาตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราชอบเรียนอะไร สนใจทางด้านไหน อย่าลืมว่าพอเราจบ 6 ปี จากการเรียนไปแล้วเราก็ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิตด้วยหน้าที่ที่เราจบมา เมื่อเราเข้าไปเรียนแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องรู้ตัวเองว่าเรามาเรียนวิชาชีพที่ทำงานกับคน สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ก็คือว่าไม่ใช่แค่การเรียนเก่งอย่างเดียว การมีจิตใจที่มีคุณธรรม มีเมตตากับคนไข้ที่เมื่อเราจบไปแล้วคือสิ่งที่สำคัญ ก็อยากจะฝากไว้ว่า เราเป็นหมออย่านึกถึงแค่เกียรติของวิชาชีพที่เราจะจบไป แต่ให้นึกถึงว่าเราจะจบไปช่วยคนอย่างไร นั่นคือปฏิภาณของคนที่จะจบมาเป็นหมอหรือหมอฟันครับ

 

  

"

ผู้จัดทำ

บทความที่คุณอาจสนใจ