มหาวิทยาลัยรังสิต จัดพิธีประสาทปริญญา ประจำปี 2563 โดยได้รับเกียรติจาก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตเป็นประธาน สำหรับปีนี้มีบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจำนวน 5,105 คน ณ อาคารนันทนาการ มหาวิยาลัยรังสิต
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวให้โอวาทแด่ดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิตและบัณฑิตมหาวิทยาลัยรังสิต ว่า ขอแสดงความยินดีต่อทุกท่าน ที่ได้สำเร็จการศึกษา ได้รับปริญญาบัตร เป็นใบเบิกทางไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ ความรับผิดชอบ ในฐานะประชาชนพลเมืองที่มีคุณค่าของประเทศชาติและสังคม เพื่อประโยชน์สุขและความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของชาติบ้านเมืองต่อไป วันประสาทปริญญา จึงเป็นวันหนึ่งที่มหาวิทยาลัยรังสิตมีความภาคภูมิใจ ที่ได้บรรลุภารกิจ สร้างคนเก่ง คนดี มีคุณธรรม ออกไปก่อประโยชน์ต่อสังคม มีความพร้อมในการพัฒนาตนเอง ความพร้อมที่จะเผชิญหน้าและรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในโลกกว้างแห่งความเปลี่ยนแปลง

ท่านดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต ทุกท่าน
เมื่อวันแรกที่ท่านเข้ามาสู่สถานศึกษาแห่งนี้ ท่านอาจยังพอจำได้ว่า สิ่งแรกและสิ่งสำคัญที่สุดที่มหาวิทยาลัยรังสิตได้ตอกย้ำเสมอมา ก็คือมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะไม่ได้ทำหน้าที่แค่เตรียมความรู้ ทักษะ ความคิด วิชาการ ให้แก่พวกท่าน แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ จะตระเตรียมความพร้อมทุกด้านของความเป็นมนุษย์ จะปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ปลูกฝังจิตสำนึกแห่งความเสียสละ ความอดทน มุ่งมั่น และความเข้มแข็งทางคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้ วิสัยทัศน์ ที่ว่า มหาวิทยาลัยรังสิต คือ “ขุมพลังแห่งปัญญาของชาติ เพื่อปฏิรูปประเทศไทย สู่สังคมธรรมาธิปไตย”
วันนี้ เรามาพบพร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ณ ห้องประชุมแห่งนี้ แต่ภายใต้ วัน เวลา และสถานการณ์ ที่แตกต่างจากเมื่อ 4 หรือ 5 ปีที่แล้ว อย่างสิ้นเชิง แน่นอน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว พวกท่านคือเยาวชนหนุ่มสาว ที่เพิ่งได้สัมผัสสิทธิ เสรีภาพของชีวิตนักศึกษาเป็นครั้งแรก แต่วันนี้ ท่านคือ “บัณฑิต” ที่เติบโต พร้อมกับความรู้ และวุฒิภาวะ เพื่อออกไปทำหน้าที่ ด้วยความรับผิดชอบในฐานะ “พลเมือง”
ผมเชื่อว่า ในช่วงเวลา 4 ถึง 5 ปี ผ่านกระบวนการศึกษาเรียนรู้ และการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย พวกท่านย่อมตระหนักได้ว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ พวกท่านได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว แต่ผมอยากจะเรียนว่า โลกและสังคมของเราวันนี้ ก็เปลี่ยนไปมากแล้ว เช่นเดียวกัน โลกวันนี้ ไม่เพียงขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นโลกที่คาดการณ์อะไรได้ยากยิ่ง โลกที่ความเหลื่อมล้ำ ต่ำสูง ระหว่างมนุษย์ ขยายห่างออกไปมากขึ้นทุกทีๆ และพัฒนาเป็นความขัดแย้ง แตกแยก ที่ยากจะสมัครสมานสามัคคีกันได้อีกต่อไป โลกที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ แปรเปลี่ยนตลอดเวลา จนเราอาจจะสงสัยว่า คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม จะเป็นรากฐานที่ยึดโยงมนุษย์เข้าด้วยกัน ได้อีกต่อไปหรือไม่ โลกที่ความคิด ความเชื่อของคน ไร้ซึ่งเอกภาพ เต็มไปด้วยความแตกต่าง หลากหลาย กระทั่งขัดแย้ง แตกแยก ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งและความผันผวนของสังคมไทยและสังคมโลก เราไม่สามารถแยกตัวเราออกจากความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ เราไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่โดยตัดความเกี่ยวข้องจากปัญหาและความขัดแย้งเหล่านี้ได้ แต่เราจะต้องอยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ และอยู่อย่างเข้าใจ และรู้เท่าทัน

คำถามคือ เราจะอยู่อย่างเข้าใจปรากฏการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร? ท่านดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต ทุกท่าน
ผมอยากให้ท่านได้ทบทวนปณิธานและวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้อธิบาย สื่อสาร และปลูกฝังแก่นักศึกษามาอย่างยาวนาน ซึ่งถ้าจะสรุปให้รวบรัดที่สุด ก็คือ “หลักธรรมาธิปไตย” ซึ่งหมายถึง การวินิจฉัยความถูก ความผิด ความควร ไม่ควร หรือความจริง ความเท็จ ด้วยการใช้ “ความเป็นธรรม” และ “ประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่” เป็นบรรทัดฐาน มิใช่ “อัตตาธิปไตย” ที่ถือความคิดและผลประโยชน์ส่วนตนเป็นตัวชี้ขาด หรือ “โลกาธิปไตย” ที่ถือเอากระแสความนิยมชมชอบของคนทั่วไป เป็นเกณฑ์วัดความถูกต้องแน่นอน ในโลกและสังคมที่มีปัญหาสลับซับซ้อน และหลายปัญหาก็มีความสืบเนื่อง มีเหตุปัจจัยหลากหลาย การวินิจฉัยความถูก ความผิด ย่อมมีความยากลำบาก
แต่นี่คือ ความเป็นจริงของโลก และก็จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า หลักคิด สติปัญญา ของเรา มีมากพอที่จะทำความเข้าใจ และอธิบายปัญหาได้หรือไม่
เราคนไทย เรายังคงจำได้ว่า “ศาสตร์ของพระราชา” มหาธรรมิกราชา รัชกาลที่ 9 ที่แม้แต่พลโลกยังแซ่ซ้องเทิดพระเกียรติเป็น “King of Kings” ในรูปของคุณธรรม 4 ประการ อันเป็นที่ตั้งของการรู้รักสามัคคี ที่ทรงสาธกไว้ในคราวเสด็จฯ ออก ณ สีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม ท่ามกลางมวลมหาประชาชนที่มาเข้าเฝ้าฯ ชมพระบารมีในโอกาสทรงครองราชย์ 60 ปี ยังพึงปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ประการแรก คือการที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน
ประการที่สอง คือการที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่งาน แก่ผู้อื่น และประเทศชาติ
ประการที่สาม คือการที่ทุกคนปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ตามกฎกติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือการที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิดจิตใจและการประพฤติปฏิบัติลงรอยกันในทางที่ดี ที่เจริญนี้ ยังมีอยู่ภายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะดำรง มั่นคงอยู่ตลอดไปได้
อย่างไรก็ตาม ผมยังมีความเชื่อมั่นว่า ทุกท่าน ณ ที่นี้ ผู้ผ่านประสบการณ์เรียนรู้อย่างเข้มข้นจากมหาวิทยาลัยรังสิต จะมีความพร้อมและศักยภาพ ที่จะใช้ “ความเป็นธรรม” แยกแยะความถูก ความผิด ได้อย่างแน่นอน

ท่านดุษฎีบัณฑิต มหาบัณฑิต และบัณฑิต ทุกท่าน
โลกวันนี้ ยังมีปัญหาอีกมาก และต้องการคนหนุ่มสาวที่มีทั้งความรู้ ความรับผิดชอบ และความสำนึกเต็มเปี่ยม ที่จะช่วยผลักดันสังคมไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ผมขอฝากความหวังนี้ไว้กับพวกท่านทุกคน ด้วยความเชื่อมั่น และพร้อมที่จะเป็นกำลังใจ กำลังความคิด ให้กับพวกท่านทั้งหลาย
ขอให้พวกท่านตระหนักไว้ตลอดเวลา ว่า ท่านคือ “ลูกรังสิต” ที่นี่เป็นบ้านที่อบอุ่น ดูแลท่านตั้งแต่วันแรกที่ท่านเข้ามาพักพิง และได้ร่วมในพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ณ ห้องประชุมแห่งนี้
วันนี้ ท่านกำลังจะเดินทางออกไปจากห้องประชุม และมหาวิทยาลัยแห่งนี้แต่ขอเรียนให้ท่านทั้งหลาย ได้จดจำ ไว้ว่าท่านทั้งหลาย คือ “ลูกรังสิต” และมหาวิทยาลัยรังสิต จะยังเป็นบ้านอันอบอุ่นของท่านตลอดไป
สุดท้ายนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระศรีศาสดา และพระเมตตาบารมีแห่งองค์บูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ จงปกป้องคุ้มครองท่านผู้สำเร็จการศึกษาทุกคน ให้ได้รับความสุขความเจริญ และความก้าวหน้าในชีวิตการงาน เป็นประโยชน์สุขต่อครอบครัว ประชาชน ตลอดจนประเทศชาติและมนุษยชาติโดยรวม สืบต่อไป
"