ความมุ่งมั่นของประเทศต่างๆ ในการคิดค้นและทดลองวัคซีนที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด–19 ใกล้เป็นจริงเข้าไปเรื่อยๆ ล่าสุดมีการทดลองฉีดกับลิงไปแล้ว หากได้ผลดีก็จะขยับขึ้นมาทดลองฉีดกับมนุษย์ต่อไป ไม่นานนักโรคระบาดใหญ่ระดับโลก (pandernic) นี้ก็จะแปรสภาพไปเป็นเพียงโรคระบาดประจำฤดูกาล (Seasonal Epidemic) เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ หรือโรคระบาดร้ายแรงตัวอื่นๆ ที่มนุษย์สามารถ “พิชิต” สำเร็จมาแล้ว
ภาพประกอบ: https://unsplash.com/photos/w9KEokhajKw
หลังวิกฤติใหญ่ครั้งนี้ผ่านพ้นไปโลกจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไร เป็นคำถามที่หลายฝ่ายกำลังถกเถียง–อภิปรายกันอยู่อย่างคร่ำเคร่ง ในชั้นแรกนี้พอจะประมวลสรุปได้ ดังนี้
1. ผลเสียหายหนักหน่วงทางด้านเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ภาวะ Deglobalizalion จะเกิดขึ้น แต่ละประเทศจะมุ่งแก้ปัญหาภายในของตนเองเป็นหลัก กระแสชาตินิยม มุ่งแก้ปัญหาให้ชาติตนเองอยู่รอด พื้นฟูเศรษฐกิจชาติตนให้เข้มแข็ง จะเป็นงานเร่งด่วนของแต่ละประเทศ การติดต่อเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์และส่งผลกระทบต่อกันและกันระหว่างชาติจะลดบทบาทลง การท่องเที่ยว การค้า – การลงทุนข้ามชาติจะลดความเฟื่องฟูลง ทุกประเทศจะหันมาลงทุนภายใน ท่องเที่ยวภายในประเทศกัน การเกิดใหม่ของ Localization จะผงาดเด่นทั่วโลก
ภาพประกอบ: https://unsplash.com/photos/BJXAxQ1L7dI
2. Digital Economy จะเฟื่องฟูทั่วโลกอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นมากมาย อาทิ เช่น อุตสาหกรรม A.I. อุตสาหกรรม Bio Technology, อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ, อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า, E- Commerce, E – Banking, Shopping on Line ล้วนส่งผลทำให้กระบวนการ Technological Disruption รุนแรงมากขึ้น เพราะเป็นแนวทางใหม่ในการลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และเพิ่มกำไรให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น แต่ในด้านกลับก็จะส่งผลมหาศาล ทำให้ตัวเลขคนตกงาน-ว่างงานพุ่งสูงขึ้นมากทั่วโลก หากรัฐบาลแต่ละประเทศไม่มีวิธีบริหารจัดการ-แก้ไขปัญหาที่ดีพอ ก็จะเกิดปัญหาสังคมอย่างหนักหน่วงตามมา นอกจากมาตรการเยียวยาโดยการอัดฉีดเงินให้กับผู้ตกงานเฉพาะหน้าแล้ว รัฐบาลยังต้องสร้างงานใหม่–อาชีพใหม่, ฝึกอบรมทักษะความรู้ใหม่ๆ เพื่อให้แรงงานจำนวนมหาศาล ได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แห่งโลกแรงงานยุคดิจิทัลครั้งนี้ อาชีพและงานแบบเก่าหลายๆ อย่างจะปิดฉากหายไป อาชีพใหม่ ทักษะใหม่ในการทำมาหากินจะผงาดเด่นขึ้น
ภาพประกอบ: https://www.jd.com
ภาพประกอบ: http://aliexpress.com/
ยกตัวอย่างเช่น ย้อนอดีตไปหลังวิกฤติโรคซาร์แพร่ระบาดยุติลง ประเทศจีนก็เกิดช่องทางใหม่แห่งโลกการค้าออนไลน์ คือ ธุรกิจ Delivery และโลจิสติดส์รูปแบบใหม่, ธุรกิจ J.D. Com และ Alibaba.Com ขึ้นมาทดแทน การค้าแบบ offline ที่ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไป
3. องค์ความรู้ใหม่และจิตสำนึกในการดูแลรักษาสุขภาพ (Health Conscious) จะเฟื่องฟูทั่วโลก เนื่องจากวิกฤติโควิด–19 จะไม่ใช่วิกฤติโรคระบาดร้ายแรงครั้งสุดท้ายของโลก กาลเวลาข้างหน้า โลกและมนุษย์ชาติยังต้องเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดใหม่ ๆ ตามมาอีกมากมาย เพราะไม่ใช่แค่วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ปรับตัวและมีพัฒนาการ แต่เชื้อโรคและไวรัสก็มีการกลายพันธุ์ มีการพัฒนา เกิดสายพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมารุกรานมนุษย์อยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีแนวโน้มว่า วงรอบแห่งการแพร่ระบาดจะถี่ขึ้น และแผ่วงกว้างแห่งการทำลายล้างได้มากขึ้นกว่าในอดีตด้วย เราจึงต้องเร่งปรับตัว – เร่งพัฒนาวิธีการรักษาให้ได้เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเชื้อโรค รวมทั้งจะเกิดแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยแบบเดียวกันทั่วโลก ที่เรียกว่า “New Normal”
ภาพประกอบ: https://unsplash.com/photos/KWrNwBE87EY
4. หลังวิกฤติโดวิค – 19 ผ่านพ้นไป กระบวนการสื่อสารจะพลิกโฉมครั้งใหญ่ การ Disrupt ทางการสื่อสารจะทำลาย – ตัดทอน “ตัวกลาง” ให้ค่อย ๆ หมดบทบาทลง “กระบวนการสื่อสารใหม่” ได้ปลดปล่อย พลังประชาชนให้สามารถเข้าถึง “สื่อ” และสามารถสร้างสื่อใหม่ในรูปแบบที่หลากหลายได้อย่างกว้างขวาง เช่น “ผู้สื่อข่าวพลเมือง” จะเกิดขึ้นทุกหัวระแหงไม่เพียงภายในประเทศ แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วโลก สื่อกระแสหลักแบบเก่า เช่น หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, วารสาร ที่ตีพิมพ์เป็นกระดาษ จะลดบทบาท กระทั่งปิดตัวลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ รูปแบบใหม่สื่อออนไลน์ประเภท Newspaper on line, Magazine On line และ E–book จะเฟื่องฟูขึ้นทั่วโลก สถานีโทรทัศน์แบบเก่าก็จะเสื่อมมนต์ขลัง, การถ่ายทอดสดประเภท Facebook Live, Twitter, Instagram, YouTube T:V หลากหลายรูปแบบจะเกิดขึ้นมาแทนที่ Clip Video, หนังสั้น และ Online TV, หรือการสื่อสารทางการเมือง (Political Communication) จะพลิกโฉม บทบาทคนกลางประเภท ส.ส. พรรคการเมืองจะลดบทบาท ลงเมื่อ “ประชาชน” ทั้งประเทศสามารถสื่อสารตรงถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทุกระดับ ตั้งแต่จังหวัด ตำบล หรือหมู่บ้านได้เอง
5. แนวโน้มใหม่ในด้านบวกข้อต่อมาคือ ผู้คนทั่วโลกจะสนใจดูแล-รักษา และมีจิตสำนึกรักษ์โลก – รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น พฤติกรรมและธุรกิจที่มีผลต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมจะถูกต่อต้านและตั้งข้อรังเกียจจากประเทศทั่วโลกมากขึ้น อุตสาหกรรมและธุรกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับการส่งเสริมและตอบรับจากผู้บริโภคทั่วโลก เพราะที่ผ่านมา อุตสาหกรรมและธุรกิจของเราได้ทำลายสภาพแวดล้อมซึ่งเป็น “สมบัติรวมของมนุษยชาติทั่วโลก” มามากเกินพอแล้ว หลังวิกฤติโควิด–19 ครั้งนี้ จะปลุกกระแสความตื่นตัวครั้งใหญ่ทั่วโลก ให้มนุษย์รักสัตว์ป่า รักต้นไม้ – แม่น้ำ – อากาศ – ภูเขา ให้สะอาดมากขึ้น รุกรานและทำลายธรรมชาติและสภาพแวดล้อมน้อยลง เพื่อถนอมโลกที่น่ารักใบนี้ให้ยืนยงคงอยู่คู่กับมนุษยชาติให้ยาวนานที่สุด ทำให้ความคิดฝันของคนบางคนที่อยากย้ายภูมิลำเนาทิ้งโลกใบนี้ไปอยู่ดาวดวงอื่นให้เป็นฝันค้างที่เป็นไปไม่ได้ให้บังเกิดขึ้นให้ได้
โลกจะยังคงหมุนต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนไป โลกจะไม่เหมือนเดิมอีก ตามสัจจะนิรันดร์ที่ว่า “สรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง หากคุณไม่เปลี่ยนแปลง โลกก็จะเปลี่ยนคุณเอง” !!
เรียบเรียงโดย: อาจารย์ปฏินันท์ สันติเมทนีดล
อาจารย์วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต
"