เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “COVID-19” ที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก และหากจะกล่าวว่า โรคนี้ติดกันง่าย แพร่กระจายเร็ว แค่ไอจามใกล้ๆกัน ถ้าอย่างนั้น “Infodemic” หรือ การแพร่ระบาดของข้อมูลที่บิดเบือนก็คงจะส่งต่อกันง่ายดาย และรวดเร็วเพียงแค่คลิกเดียวเช่นกัน แม้แต่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกอย่าง Tedros Adhanom Ghebreyesus ก็ยังกล่าวไว้ว่า “เราไม่เพียงแต่ต่อสู้กับโรคระบาด (Epidemic) เท่านั้น เรากำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับโรค (Infodemic) ด้วย” (World Economic Forum, 2020)

“Infodemic” เป็นคำที่องค์การอนามัยโลกใช้สื่อถึงการระบาดของข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง คลาดเคลื่อนหรือบิดเบือนเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 โดยเกิดจากการรวมคำสองคำเข้าด้วยกันคือ Information (ข่าวสาร) และ Epidemic (การระบาด) ข้อมูลในลักษณะนี้ถือเป็นความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร (Information Disorder) ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทแรก ข้อมูลที่ผิด (Misinformation) เป็นข้อมูลที่ปลอมขึ้นมาหรือเป็นเท็จ แต่บุคคลที่นำมาเผยแพร่เชื่อว่าเป็นความจริง ประเภทที่ 2 ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) เป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนและบุคคลที่เผยแพร่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เป็นความจริง ส่วนประเภทที่ 3 ข้อมูลที่แฝงเจตนาร้าย (Mal-information) จะเป็นข้อมูลที่มีพื้นฐานของความจริง แต่ถูกนำมาใช้เพื่อทำร้ายบุคคล องค์กร หรือประเทศ (UNESCO, 2018) ดังนั้น ข้อมูลจำพวก “เขาบอกว่า...” “ได้ข่าวมาว่า...” ที่ส่งต่อกันมาทางสื่อสังคมออนไลน์ จึงอาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่ผิด (Misinformation) ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หรือข้อมูลที่แฝงเจตนาร้าย (Malinformation) เพราะเป็นข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตน แต่เราได้รับมาจากคนใกล้ชิด
ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคอาจทำให้ผู้คนวิตกังวลจนมองข้ามการพิจารณาความถูกต้องน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับมาและทำการส่งต่อข้อมูลผิดๆเหล่านั้นไปยังเพื่อนฝูงญาติพี่น้องด้วยเจตนาดี ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การระบาดของโรค ไปจนถึงวิธีการรักษาหรือป้องกันต่างๆ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่อ้างประกาศของกระทรวงสาธารณสุขว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยรักษา COVID-19 ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ก็ทำให้คนแห่ไปซื้อฟ้าทะลายโจรกันมากมาย นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ Infodemic ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น จากการตรวจสอบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (2020) ที่เผยแพร่ในช่วงระยะเวลา 10 วัน (19-30 มีนาคม 2563) พบว่าในจำนวนข้อมูลข่าวสารที่ถูกตรวจสอบทั้งหมดเป็นเรื่องไม่จริงถึง 81.4% และเป็นเรื่องจริงเพียง 18.6% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการระบาดย่อมเกิดขึ้นทั่วโลก เพราะในยุโรปและอเมริกาก็มีข้อมูลที่ถูกส่งต่อกันอย่างกว้างขวางว่า กระเทียมช่วยรักษา COVID-19 ได้ จนองค์กรอนามัยโลกต้องรีบออกมาให้ข้อมูลว่า กระเทียมนั้นดีต่อสุขภาพ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ารักษาหรือป้องกัน COVID-19 ได้ (WHO, 2020) หรือจะเป็นการเผยแพร่ส่งต่อข้อความที่แอบอ้างว่ามาจากองค์การยูนิเซฟในหลายภาษาบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีการระบุว่าให้หลีกเลี่ยงการทานไอศกรีมและอาหารที่เย็น ๆ เพื่อป้องกันโรค จนรองผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟต้องออกแถลงการณ์ชี้แจง (Unicef, 2020) เป็นต้น

นอกจากนี้ หากจะข้ามฝั่งไปยังตะวันออกกลาง Infodemic ก็ยังแพร่กระจายไปถึงเช่นกัน อย่างในอินเดียมีข้อมูลแพร่กระจายออกมาว่า ไวรัสตัวนี้แพร่ระบาดผ่านอาหารทะเล ซึ่งไม่เป็นความจริง หรือในอิรักที่มีข้อมูลออกมาจากสื่อโทรทัศน์หลายๆสื่อว่า บริษัทยาในประเทศสามารถผลิตยาที่ใช้รักษา COVID-19 ได้และจะแจกฟรีสำหรับประชาชนชาวอิรัก ซึ่งต่อมาบริษัทยาออกมาแก้ข่าวว่าเป็นการเข้าใจผิด (Aljazeera, 2020)
การแพร่กระจายของข้อมูลลักษณะนี้ ส่งผลกระทบให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคแย่ลง เนื่องจากผู้คนจะลดมาตรการการป้องกันตนเองอย่างถูกต้อง เช่น การใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่างทางสังคม หรือการล้างมือ กินร้อน ช้อนตัวเอง หันไปใช้วิธีการป้องกันตามแบบที่ได้รับข้อมูลผิดๆมา ทำให้การยับยั้งการระบาดของโรคเป็นไปได้ยากขึ้น องค์การอนามัยโลกเองก็ได้ตระหนักถึงปัญหานี้จึงขอความร่วมมือกับบริษัทผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียต่างๆ อาทิ Facebook, Twitter ที่จะร่วมกันกำจัดข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ COVID-19 ให้เหลือน้อยที่สุดหรือหมดไปไปจากไทม์ไลน์ของผู้ใช้ เช่นเดียวกับ Google ที่จะมี COVID-19 alert เป็นแถบสีแดงขึ้นเมื่อผู้ใช้เข้าไปค้นหาข้อมูล หรือ YouTube ที่เมื่อผู้ใช้เข้าไปยังหน้าแรกจะปรากฏกล่องข้อความ (Pop-up) เกี่ยวกับ COVID-19 ขององค์การอนามัยโลกขึ้นมา ส่วนในประเทศไทยเอง เรามีทั้งศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย ที่สามารถช่วยตรวจสอบข้อมูล รวมถึงหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่มีทั้งการให้ข้อมูลและแคมเปญรณรงค์เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกัน COVID-19 อย่างถูกต้อง

สุดท้ายนี้ ไม่ว่าองค์กร หน่วยงาน หรือแฟลตฟอร์มต่างๆจะร่วมมือกันแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือตัวเรา ผู้ชม ผู้ใช้ ผู้แชร์ข้อมูล ที่จะต้องมีสติ คิดพิจารณาและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับมาด้วยตัวเอง ก่อนที่จะเชื่อหรือแชร์ เพราะการระวังตนเองให้ปลอดภัยจากการรับข้อมูลผิดๆหรือ Infodemic นั้นเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก COVID-19 ซึ่งเป็น Pandemic หรือโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลกเลย

เรียบเรียงโดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรทัย ราวินิจ
อาจารย์สาขาวิชาสื่อสารการตลาดดิจิทัล วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต
แหล่งข้อมูล
- องค์การอนามัยโลก (WHO) เข้าถึงได้จาก https://www.who.int/emergencies/diseases/novel-coronavirus-2019/advice-for-public/myth-busters
WORLD ECONOMIC FORUM เข้าถึงได้จาก https://www.weforum.org/agenda/2020/03/how-experts-are-fighting-the-coronavirus-infodemic
- องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย (Unicef Thailand) เข้าถึงได้จาก https://www.unicef.org/thailand/th/press-releases/unicef-statement-on-misinformation-coronavirus
- ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) เข้าถึงได้จาก https://www.antifakenewscenter.com/tag/covid-19/
- ALJAZEERA เข้าถึงได้จาก https://www.aljazeera.com/news/2020/03/misinformation-fake-news-spark-india-coronavirus-fears-200309051731540.html
- ALJAZEERA เข้าถึงได้จาก https://www.aljazeera.com/news/2020/03/news-spreads-coronavirus-treatments-iraq-200325175421561.html
"