ใช้สงบสยบข่าวมั่ว.....ไม่ชัวร์ ไม่แชร์ แค่ทำให้เป็นนิวนอร์มัล

23 Jun 2020

      ทุกครั้งที่เกิดภาวะวิกฤตเราต่างหันไปพึ่งพาข้อมูลข่าวสาร เมื่อเกิดการระบาดของโรคเกิดใหม่อย่างโควิด- 19 ก็เช่นกัน เราพบว่าสื่อโซเชียลถูกใช้เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วฉับไวยิ่งกว่าครั้งใด เนื่องจากความสามารถในการเข้าถึงสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้น และเนื่องจากโรคโควิด-19 เป็นโรคใหม่ จึงทำให้เกิดภาวะความไม่แน่นอน (uncertainty) ขึ้นในสังคมทั่วโลก จึงยิ่งส่งผลให้เกิดความต้องการข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเป็นทวีคูณเพื่อขจัดความรู้สึกไม่แน่นอนอันเกิดจากสิ่งที่เราไม่รู้ (the unknown) และแน่นอนว่าเมื่อมีความต้องการ (อุปสงค์) เพิ่มสูงขึ้น ย่อมมีผู้ให้ข้อมูลข่าวสาร (อุปทาน) มากขึ้นไปด้วย สื่อต่างๆ โดยเฉพาะบนแพลต์ฟอร์มสื่อโซเชียลต่างทำศึกกันอย่างหนักหน่วงเพื่อแย่งชิงพื้นที่นำเสนอข่าวและข้อมูลเพื่อกระตุ้นให้คนอ่านและส่งต่อจนอาจเรียกได้ว่าปัจจุบันสื่อโซเชียลกลายเป็นสื่อหลักในการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร กลายมาเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นใหม่ หรือที่เรารู้จักกันว่า นิวนอร์มัล (new normal) นั่นเอง เหมือนกับสมับก่อนที่การอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือเปิดดูข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำคือวิถีปฏิบัติของผู้ต้องการรับรู้ข่าวสารและข้อมูล

      แต่เพราะสื่อโซเชียลเข้าถึงได้ง่าย ใครๆ ก็สามารถ “เสนอข่าว” หรือ “ให้ข้อมูล” ได้ โดยไม่ต้องเป็นผู้อยู่ในวงการสื่ออาชีพอย่างสมัยก่อน ทำให้มีผู้ให้ข่าวสารจำนวนมากปริมาณของข้อมูลข่าวสารก็มีมากมายจนล้น สิ่งที่เกิดขึ้นและพบได้บ่อยโดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยคือการส่งต่อและเผยแพร่ข้อความที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่เกิดจากการโพสต์สถานะของบุคคลทั่วไป หรือข่าวลือ ข่าวลวง ข้อมูลที่ถูกบิดเบือนไปจากบริบท ข้อเท็จจริงหรือเจตนาเดิมของต้นฉบับก็ตาม การส่งต่อโดยไม่ตรวจสอบหรือพิจารณาความถูกต้องของเนื้อหาเช่นนี้ก่อให้เกิดผลกระทบหลักสองประการคือ ทำให้เกิดความตื่นตระหนก และสร้างความแตกแยกในสังคม บทความนี้จึงอยากนำเสนอให้เราใช้สติและหลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่ได้รับก่อนที่จะส่งต่อหรือเผยแพร่ และที่สำคัญคือควรจะกระทำให้เป็นนิวเนอร์มัล เพิ่มเติมจากการสวมหน้ากาก และล้างมือบ่อยๆ เพราะเนื้อหาสื่อมีอิทธิพลต่อผู้รับสื่อเสมอไม่ว่าจะมากหรือน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลข่าวสารที่เพร่กระจายเป็นวงกว้างย่อมก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ซึ่งในบางครั้งผลกระทบนั้นก็อาจนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นได้

     การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยปราศจากการตรวจสอบ ด้วย ‘ไม่มีเวลา’ (ผู้ส่งต่อมักออกตัวว่ายังไม่ได้ตรวจสอบ นัยว่าผู้ติดตามควรใช้วิจารณญาณเอง) หรือ คิดว่าเนื้อหามีความ ‘น่าสนใจ’ เช่นเนื้อหาประเภทให้คำเตือน เรื่องเล่าจากประสบการณ์ หรือ ‘เป็นประโยชน์’ หรือเนื้อหาที่มักขึ้นต้นว่า ‘ด่วน!’ หรือมีลักษณะส่งต่อประกาศสาธารณะต่างๆ ใช้ถ้อยคำกระตุ้นความรู้สึกจนทำให้เกิดความตื่นตระหนก และมักเร่งเร้าให้ผู้ได้รับส่งต่อหรือแชร์ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาจากโพสต์ในเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์และข้อความในแอปพลิเคชั่นไลน์ ผู้อ่านส่วนใหญ่มีพฤติกรรมส่งต่อโดยอ่านแต่พาดหัวข่าวหรือบรรยายภาพโดยไม่คลิกเข้าไปดูรายละเอียดเนื้อหาหรืออ่านแต่ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่งผลให้คนจำนวนมากหลงเชื่อและนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ดังตัวอย่างกรณีข่าวลือว่ารัฐบาลจะประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง จนทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและแห่ไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากักตุนเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรคภายในร้านค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต ท่ามกลางความพยายามควบคุมและชะลอการระบาดของโรคโควิด19 ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังโชคดีที่ไม่เกิด super spreader หรือการที่ผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียวแพร่เชื้อสู่คนจำนวนมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าโชคจะไม่เข้าข้างเราเมื่อไหร่

     ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรละเว้นการส่งต่อข้อความที่ไม่ระบุแหล่งข่าวที่ชัดเจน หากได้รับข้อความประเภทนี้ควรตรวจสอบก่อนเสมอ และควรทำให้เป็นปกติวิสัย โดยถือโอกาสที่เราปรับพฤติกรรมใหม่ในช่วงโควิดนี้ร่วมกันทำให้การเช็คก่อนแชร์เป็นนิวนอร์มัลอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะการรับข้อมูลและข่าวสารทางสื่อโซเชียลคงจะได้รับความนิยมต่อไป ผู้ไม่ประสงค์ดีก็คงจะมีกลเม็ดใหม่ๆ มาล่อลวงให้คนส่งต่อเพราะหวังประโยชน์บางอย่าง ไม่ว่าจะสร้างไวรัล หวังยอดโฆษณา ไปจนถึงเจตนาสร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในสังคมเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของบุคคลหรือองค์กร หรือมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างประเด็นทางการเมืองที่ทำให้การรับส่งข้อมูลข่าวสารที่ถูกบิดเบือน อย่างเช่นการหยิบยกประเด็นเล็กๆ มาขยายจนเป็นเรื่องใหญ่ หรือหยิบยกประเด็นหนึ่งมากล่าวถึงในอีกบริบทหนึ่ง การใช้คำหรือพาดหัวข่าวหรือบรรยายภาพในลักษณะที่ไม่ตรงกับเนื้อหา นำเสนอข้อเท็จจริงเพียงบางส่วนหรือให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว หรือสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่เลยทั้งหมด ฯลฯ มีผลกระทบในการสร้างความแตกแยกร้าวฉานทางการเมืองที่มีมากอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้เกิดช่องว่างระหว่างขั้วการเมืองมากยิ่งขึ้นไปอีก

     ดังนั้น ประชาชนที่เปิดรับข้อมูลข่าวสารทางช่องทางสื่อโซเชียลรวมทั้งแอปพลิเคชั่นไลน์จึงควรสร้างนิสัยใหม่ในการส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมา โดยใช้วิธีการพิจารณาง่ายๆ เบื้องต้นที่จะให้ไว้สองประการ คือหนึ่ง ให้สังเกตแหล่งที่มาหรือผู้เขียน อย่าเชื่อข้อความที่กระตุ้นให้แชร์หรือส่งต่อ เช่น ด่วน! ช่วยกันแชร์ หรือ เนื้อหาที่อ้างคนรู้จัก (ญาติ เพื่อน) เล่าประสบการณ์หรือให้คำเตือนต่างๆ หากคิดว่ามีความสำคัญควรตรวจสอบกับแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ก่อนส่งต่อเสมอ เพื่อที่เราจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนปล่อยข่าวลือ และทำให้ตนเองเสื่อมเสียความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังทำให้เราไม่ตกเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตื่นตระหนกในสังคม (นอกเหนือจากการตื่นตระหนกเสียเอง) ด้วย แม้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่คิดว่าเชื่อถือได้หรือมาจากบุคคลที่เรานับถือแต่หากเป็นเนื้อหาที่มีผลกระทบรุนแรงหรือในวงกว้างก็ไม่ส่งต่อในทันที หากไม่มีเวลาตรวจสอบหรือพิจารณาความเป็นไปได้หรือความน่าเชื่อถือของเนื้อหาข้อความที่ได้รับมา การไม่ส่งต่อเลยจะส่งผลดีมากกว่าทั้งต่อตนเองและสังคม

     ทั้งนี้ อย่าคิดว่าเราไม่แชร์คนอื่นก็แชร์ แต่ขอให้พึงระลึกว่าทุกอย่างเริ่มต้นได้ที่ตัวบุคคล เมื่อหลายๆ คนปฏิบัติเหมือนกันในที่สุด เราก็จะเริ่มเห็นผลที่ดีขึ้น อย่างน้อยช่วยลดปริมาณการแพร่กระจายของข่าวลือ ข่าวลวง ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนอย่างหนึ่งได้ หากเรา “ไม่ชัวร์ ไม่แชร์” จนเป็นนิวนอร์มัลของคนใช้สื่อยุคโควิดและหลังโควิดกันได้ สังคมไทยก็จะปลอดภัยจากข้อมูลบิดเบือนได้แม้จะไม่ทั้งหมด แต่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เราทุกคนช่วยกันทำได้ไม่ยากเลย

บทความโดย: ดร.นุดี หนูไพโรจน์

อาจารย์วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต

อ้างอิงข้อมูล

 - JS100 (31 มีนาคม 2563). “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเตือนอย่าแชร์! รัฐบาลเตรียมประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้าน 24 ชม.ภายในสัปดาห์หน้า” เป็นข้อมูลเท็จ”. เข้าถึงได้ทาง https://bit.ly/3dYNwTW

 - ไทยพีบีเอส (16 เมษายน 2563). “จับมือโพสต์ข่าวบิดเบือน อ้างเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง” เข้าถึงได้ทาง https://news.thaipbs.or.th/content/291243

 - ฐานเศรษฐกิจ (6 เมษายน 2563). “แห่กักตุนอาหาร เหตุข่าวลือเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง”. เข้าถึงได้ทาง https://www.thansettakij.com/content/428479

- ยูเนสโก (2563). “การเสนอข่าว ‘ข่าวลวง’ และข้อมูลบิดเบือน.” คู่มือเพื่อการศึกษาและอบรมด้านวารสารศาสตร์. ปารีส ฝรั่งเศส: องค์การยูเนสโก้. เข้าถึงได้ทาง https://en.unesco.org/sites/default/files/24_feb_fake_news_thai.pdf

#disinformation #รู้เท่าทันสื่อ #ข้อมูลบิดเบือน #ไม่ชัวร์ไม่แชร์ #นิวนอร์มัล #newnormal #medialiteracy 

 

"

ผู้จัดทำ

บทความที่คุณอาจสนใจ