ร้าน “Beaker and Bitter” (บีกเกอร์ แอนด์ บิตเตอร์) คาเฟ่ที่รีโนเวทจากโรงงานผลิตยาเก่ายาวนานกว่า 50 ปี เป็นคาเฟ่เก๋ๆ ในโทนสีขาวเทา ธีมห้องแล็บหรือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่มีกิมมิกและพร็อพสำหรับถ่ายรูปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกาวน์และแว่น บีกเกอร์ที่นำมาตกแต่งรอบร้าน รวมทั้งจุดเด่นคือ บันไดวนที่ตั้งอยู่กลางร้านแห่งนี้
ความลงตัวที่น่าสนใจก่อนที่จะมาเป็นคาเฟ่ที่ตอบโจทย์คนเมืองนั้น “หมอบิวด์” นายแพทย์ภีมณพัชญ์ ธนชาญวิศิษฐ์ ศิษย์เก่าวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเล่าให้ฟังว่า ที่นี่เป็นโรงงานยามาก่อนมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 50 ปี แต่ด้วยยุคสมัยและมาตรฐานการผลิตยาทำให้โรงงานยาของเดิมไม่สามารถที่จะปรับปรุงได้ต่อไปอีกจึงตัดสินใจปิดกิจการ สถานที่แห่งนี้จึงถูกปิดไว้เป็นเวลา 5 ปี ที่นี่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีเรื่องราวที่เป็นของจริงสามารถนำไปต่อยอดในแบบอื่นที่ไม่ใช่เป็นแค่โรงงานยาได้ จึงได้รีโนเวทเป็นค่าเฟ่ในธีมวิทยาศาสตร์
“หุ้นส่วนในการทำคาเฟ่แห่งนี้มี 2 คน คือผมและเคนนี่ เราสองคนมีความชอบที่คล้ายๆ กันและมีความชอบที่ต่างกัน แต่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวพอดี อย่างแรกผมรู้สึกว่าวัยรุ่นสมัยนี้อ่านหนังสือที่ร้านกาแฟแต่ก็จะมีปัญหาว่าร้านกาแฟจะมีเสียงดังบ้าง เสียงเครื่องปั่น เสียงคน เสียงเพลง ทำให้สมาธิของการอ่านหนังสือลดลง ส่วนเคนนี่เองเคยทำกาแฟบรรจุขวดขายออนไลน์ ก็เลยคิดว่าเรามีความเก่งและความถนัดกันคนละด้าน แต่เมื่อมารวมกันจึงได้ออกมาเป็นร้านนี้”
B&K ส่วนผสมที่ลงตัวเป็น Beaker and Bitter
ที่มาของชื่อร้านนั้นมาจาก Beaker หรือแก้วบีกเกอร์ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ เพื่อบรรจุเครื่องดื่มให้ลูกค้า ส่วนคำว่า Bitter สื่อความหมายถึง ความขม ของยา ดังคำกล่าวที่ว่า “หวานเป็นลมขมเป็นยา” เช่นเดียวกับกาแฟที่มีความขมเหมือนกัน บวกกับตัวอักษร B กับ K ที่มีชื่อของหมอบิวด์และเคนพอดี จึงเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวและเป็นที่มาของชื่อร้าน “Beaker and Bitter”
หมอบิวด์เล่าว่า “เนื่องจากเราใช้สถานที่บนพื้นที่ของโรงงานยามาก่อน จึงเน้นธีมความเป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้น เราจึงเลือกใช้ชื่อภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อความหมายของร้านทั้งหมด ก็เลยนึกถึงแก้วบีกเกอร์ ซึ่งเป็นแก้วทางวิทยาศาสตร์ที่เอาไว้ใช้สำหรับตวงสารต่างๆ โดยแก้วนี้เรานำมาเป็นสัญลักษณ์แล้วนำมาเป็นแก้วบรรจุเครื่องดื่มให้ลูกค้า บวกกับความบังเอิญคำว่า บีกเกอร์มีตัว B กับตัว K ซึ่งมีบิวด์และมีเคนอยู่ในนั้นพอดี แต่ผมก็รู้สึกว่าคำว่าบิกเกอร์เองครอบคลุมแต่ยังไม่ทั้งหมด จึงหาอีกคำมาต่อท้ายให้มีการอธิบายร่วมกัน ก็ได้คำว่าบิตเตอร์ขึ้นมา ซึ่งมีความหมายเป็นไทยก็คือ ขม ซึ่งความขมนี้หลายๆ เมื่อนึกถึงเวลากินยาก็จะมีรสชาติขม ในขณะเดียวกันกาแฟก็มีความขมครับ เพราะฉะนั้นความขมที่มาจากยา ความขมที่มาจากกาแฟ อยู่ในแก้วบีกเกอร์ ทุกอย่างองค์ประกอบครบถ้วนจึงจบที่ชื่อ Beaker and Bitter”
เมนู Signature ของร้าน
สำหรับเมนูซิคเนเจอร์ของร้านมี 2 เมนูหลักคือ กาแฟดำ โจทย์ของเราคือหลายๆ คนอยากจะหันมาดื่มกาแฟดำ หรือบางคนแพ้นม กินนมแล้วท้องอืดบ้าง ท้องเสียบ้าง แต่กาแฟดำจะมีรสชาติที่เข้มดื่มยาก เราจึงพัฒนาคิดค้นทดลองสูตรจนได้เมนูซิคเนเจอร์กาแฟดำ ชื่อว่า R.I.P. หลายคนอาจจะตกใจคำนี้ แต่จริงๆ คำนี้ในความหมายของเราย่อมาจาก Rose in Peach ที่มีกุหลาบและพีชเป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะมีความหอม ความหวานที่ลงตัวบวกกับกาแฟ ซึ่งเราก็เอามาปรับสูตรพัฒนาสูตรจนกระทั่งมีความหอมหวาน และดื่มง่าย
ส่วนอีกเมนูหนึ่งที่เราได้ตอบโจทย์คนที่ชอบกินกาแฟนม หรือตระกูลลาเต้ ปัจจุบันคนนิยมถ่ายรูป ดังนั้น ของที่เราอยากจะทำขึ้นมาจะต้องถ่ายรูปสวย นั่นก็คือเมนูโคลมินตี้ลาเต้ ซึ่งจะมี 3 เลเยอร์ด้วยกัน คือ เลเยอร์ของนมมินท์ นม และกาแฟ ซึ่งเมนูนี้เป็นเมนูที่ขายดีและถ่ายรูปออกมาสวยมาก ก็เป็นซิคเนเจอร์สมความตั้งใจครับ
3 ความสุขของภีมณพัชญ์
ปัจจุบันหมอบิวด์ยังทำหน้าที่รักษาคนไข้ เป็นอายุรแพทย์เฉพาะทาง ด้านประสาทวิทยา ที่โรงพยาบาลวิภาราม นอกจากนี้ยังเป็นผู้ประกาศข่าวช่อง MCOT สำนักข่าวไทย และล่าสุดคือดูแลธุรกิจร้านกาแฟ Beaker and Bitter แห่งนี้
“ทำ 3 อย่างพร้อมกัน รวมทั้งเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่มหาวิทยาลัยรังสิต และมหาวิทยาลัยอื่นๆ และมีพิธีกรด้วยตามความเหมาะสม ผมรู้สึกว่าทุกๆ อย่างที่เราทำนั้นทำจากในสิ่งที่เรามีใจรักและมีความชอบอยู่แล้ว และสิ่งสำคัญคือมีคนที่อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนคือ ครอบครัว ที่คอยสนับสนุนและช่วยผลักดันดูแลอย่างเต็มที่ ซึ่งผมโชคดีที่มีหุ้นส่วนมีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ตอย่างเต็มที่ ก็เลยสามารถที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน”
พูดถึง ม.รังสิต
สำหรับผม ม.รังสิต เปรียบเสมือนกับบ้าน ชีวิตนักศึกษาแพทย์เป็นช่วงที่น่าประทับใจ เราได้เรียนรู้ได้สั่งสมประสบการณ์ได้หาตัวเองเจอ ได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบหมออย่างเดียวแต่ยังอยากทำอย่างอื่นอีก และสุดท้ายเมื่อโอกาสและเวลาเหมาะสมเราก็ได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ก็ไม่ลืมที่จะกลับไปดูแลมหาวิทยาลัย
“ทุกวันนี้ได้มีโอกาสเป็นอาจารย์สอนให้กับน้องๆ ที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์ ผมตั้งใจไว้ว่าในอดีตตอนที่เราเป็นนักศึกษาแพทย์ ถ้าวันหนึ่งได้กลับมาสอนเราจะสอนเพื่อตอบโจทย์ตัวเองในตอนนั้นว่าเราอยากได้อาจารย์แบบไหน แล้วก็กลับไปทำหน้าที่ของเราให้สมความปราถนา
อีกหนึ่งอย่างที่ผมเห็นคือ ม.รังสิต ไม่ได้หยุดในการพัฒนา มีการพัฒนาต่อยอดเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าด้วยวิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกลของผู้บริหาร เห็นว่าอนาคตในเรื่องของการศึกษายังคงเป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่จะเป็นตัวบันไดที่ต่อยอดขึ้นไปอีกได้ในอนาคต เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่า การที่ศิษย์เก่าคนใดคนหนึ่งหรือหลายๆ คน กลับไปช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ดีครับ” หมอบิวด์กล่าว
กว่าจะเป็นหมอ
การที่ผมเป็นเด็กกิจกรรมในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราได้เรียนรู้ที่จะบริหารจัดการเวลา เรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นผู้บริหารในระดับเดียวกันตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ เมื่อเรารู้จักที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเมื่อเราโตขึ้น เราก็รู้ว่าถ้าเราเป็นผู้นำควรทำแบบไหน ถ้าเราเป็นผู้ตามควรทำแบบไหน และเป็นผู้บริหารเราควรมีวิสัยทัศน์ มีมุมมองหรือมีความเห็นอย่างไรบ้าง รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ
“ชีวิตของความเป็นหมอนั้นแทบจะเทเวลาไปกับการอยู่ที่โรงพยาบาล อยู่ที่คลินิก อยู่ที่คนไข้แทบจะหมดแล้ว แต่ถ้าอยากจะทำอย่างอื่นด้วย ก็ต้องบริหารจัดการให้ดี สำหรับผมวันนี้ยังใช้คำว่าประสบความสำเร็จไม่ได้ อาจจะเพียงแค่รู้สึกว่ามาถึงจุดที่ผมตั้งเป้าเอาไว้ ย้อนไปในอดีตตอนที่ผมกำลังเป็นนักศึกษาแพทย์ พอเรียนจบหมอเราค่อยตั้งเป้าต่อไปในอนาคตว่าอนาคตอันใกล้ไกล เราอยากมีอยากเป็นอะไรบ้าง ส่วนตัวผมเป้าหมายเราไม่ได้อยู่แค่นี้แต่มีสเตปขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับบทบาทหน้าที่และสิ่งที่เราพบเจอในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นคำว่า สูงสุด เก่งสุด ดีที่สุด ยังคงใช้ไม่ได้ แต่เราจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ครับ”
สุดท้ายฝากร้าน “Beaker and Bitter” สำหรับร้าน ตั้งอยู่ที่ซอยสายลม หรือพหลโยธิน ซอย 8 ใกล้ BTS อารีย์ เปิด 8 โมงเช้าถึงสี่ทุ่ม ภายในร้านมีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และห้องอ่านหนังสือ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ บุคลากรสายการบิน และอาชีพผู้ประกาศข่าว/ ผู้สื่อข่าว ลด 10% ทุกเมนูเครื่องดื่ม ร้านเปิดทุกวัน สามารถเข้าไปค้นหาได้ในเฟซบุ๊ก/ ไอจี Beaker and Bitter
"