นางสาวเสาวนันทน์ ศิริมณฑลรัตน์ ชื่อเล่น แพร นักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คว้ารางวัลชนะเลิศ และรางวัลผลงานสร้างสรรค์ จากโครงการประกวดวิทยานิพนธ์ดีเด่น 2564 (สาขาสถาปัตยกรรมหลัก) THESIS OF THE YEAR AWARD 2021 ภายใต้หัวข้อ “Somewhere We’ll be close together” (การศึกษาเทคนิคภาพลวงตาอะนามอร์โฟซิสเพื่อนำเสนอผ่านสถาปัตยกรรมชั่วคราว) จัดโดย สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สภาคณบดีคณะสถาปัตยกรรม แห่งประเทศไทย

จากผลงานการออกแบบของแพร ภายใต้ชื่อว่า “Somewhere we’ll be close together” นั้นได้อ้างอิงมาจากงานสถาปัตยกรรมชั่วคราวในงาน Venice Biennale Architettura 2021 โดยโจทย์การออกแบบ “How will we live together” ซึ่งผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเทคนิคอะนามอร์โฟซิส (Anamorphosis) ที่ใช้สร้างสถาปัตยกรรมลวงตาในอดีต ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ระยะห่างมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน จึงได้หยิบยกประเด็นการมีระยะห่างระหว่างมนุษย์มาสร้างเป็นสถาปัตยกรรมชั่วคราว ที่ทำหน้าที่นำเสนอภาพลวงตาความใกล้ชิดของผู้คน ร่วมกับจัตุรัส San Vio ในเมือง Venice องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของอาคารบริเวณจัตุรัสนั้น ผ่านเทคนิคภาพลวงตาอะนามอร์โฟซิสที่มีอิทธิพลต่อการออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีรูปร่างมาจากแนวแกนการมองเห็นของมนุษย์ เพื่อบิดเบือนมุมมองจากความเป็นจริงที่ผู้เยี่ยมชมต้องมีระยะห่างกันแต่ในสายตาของผู้สังเกตการณ์จะรับรู้ภาพลวงตานี้ว่า ผู้คนภายในสถาปัตยกรรมชั่วคราวยังคงใกล้ชิดกันราวกับว่าไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะห่างที่กลายมาเป็นความปกติในรูปแบบใหม่ สถาปัตยกรรมชั่วคราวนี้จึงมีบทบาทเพิ่มอีกหนึ่งบทบาท โดยการเป็นทั้งสถาปัตยกรรมและงานศิลปะ ที่สร้างภาพลวงตาของความใกล้ชิดกันของผู้คน เพื่อปลุกภาพความทรงจำจากความใกล้ชิดที่เคยมีมาในอดีตของผู้คนบนโลก ให้ได้กลับมาอีกครั้ง นำมาสู่จุดเริ่มต้นของหัวข้อการศึกษาวิทยานิพนธ์ดังกล่าว



“ด้วยความที่เป็นแพรเป็นคนชอบเทคนิคทางศิลปะ และช่วงก่อนการทำธีสิสกำลังอินเรื่องภาพลวงตาพอดี เลยคิดว่าสถาปัตยกรรมลวงตาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และเคยใช้ลวงตาคนว่าสถาปัตยกรรมเหล่านั้นดูน่าเคารพหรือสวยงาม หากมาเกิดขึ้นในปัจจุบันจะมีรูปแบบในลักษณะไหน จะสื่อสารเรื่องอะไร ซึ่งตรงกับช่วงสถานการณ์ช่วงปี 2564-65 ที่มีการเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่เกิดความปกติในรูปแบบใหม่นั่นคือ ผู้คนต้องมีระยะห่างซึ่งกันและกัน และช่วงเวลานั้นกำลังจะมีงาน Venice Biennale Aarchitettura 2021 ภายใต้โจทย์การออกแบบ “How will we live together” เลยทำให้แพรอยากรับบทบาทเป็นสถาปนิกที่จะไปจัดแสดงงานในงาน Venice Biennale Architettura 2021 และสนใจที่จะพูดถึงโจทย์การออกแบบนี้ผ่านเทคนิคภาพลวงตา Anamorphosis มาปรับใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยใช้เทคนิคนี้เพื่อสร้างภาพลวงตาผ่านสถาปัตยกรรมร่วมกับบริบทของเวนิสโดยใช้ระยะห่างทางสังคม ที่ในความเป็นจริงผู้คนในสถาปัตยกรรมจะต้องไกลกันให้กลายเป็นภาพลวงตาที่ “ผู้คนยังคงใกล้ชิดกันเหมือนเดิม”

สำหรับจุดเด่นภาพรวมของงานออกแบบชิ้นนี้เป็นการนำเทคนิคภาพลวงตา Anamorphosis เข้ามาใช้สร้างสถาปัตยกรรมชั่วคราวที่ต่อเนื่องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่ให้ตัวสถาปัตยกรรมนำเสนอ “ภาพลวงตาของความใกล้ชิด” ที่ทุกคนต้องมีระยะห่างกัน นอกเหนือจากนี้ยังมีการออกแบบโดยใช้บริบทของจัตุรัส ซานวิโอ ในเวนิสเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างภาพลวงตาด้วย การใช้ระนาบแนวตั้งของตึกบนจัตุรัสที่จะเสริมให้ภาพลวงตาสมบรูณ์ยิ่งขึ้น ด้วยความที่โปรเจค Somewhere we’ll be close together กำลังตั้งคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เมื่อระยะห่างทางสังคมเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลกับความรู้สึกห่างเหินกันของผู้คนอย่างไร การไม่ได้ใกล้ชิดกับคนอื่นๆ หรือแม้แต่เห็นภาพที่ผู้คนใกล้ชิดกันในพื้นที่สาธารณะ ตัวงานออกแบบจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนแว่นขยายเพื่อสื่อสารให้เห็นถึงความจริงที่เปลี่ยนไป ถ้าวันหนึ่งเราทุกคนต่างใกล้ชิดกันในความเป็นจริงไม่ได้ อาจต้องเกิดวิธีการใหม่ๆ ที่ทำให้เราทุกคนยังคงเห็นภาพของความใกล้ชิดผ่านภาพลวงตาและเพื่อปลุกภาพความทรงจำจากความใกล้ชิดที่เคยมีมาในอดีตของผู้คนบนโลกให้ได้กลับมาอีกครั้ง

“แพรคิดว่าในช่วงสถานการณ์นี้ สถานที่ต่างๆ เริ่มมีการจัดระยะห่างของคนจากองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ถ้าลองพัฒนาต่อการแนวคิดที่ใช้เทคนิคภาพลวงตา Anamorphosis เข้ามาใช้ในภายในอาคาร อาจส่งผลให้คนในอาคารนั้นๆ เห็นว่าเขายังคงใกล้ชิดกันอยู่ได้ ตัวอย่างเช่น แพรชอบไปนั่งทำงานที่ TCDC มากๆ แต่ต้องมีการเว้นระยะห่างกัน ถ้าใช้เทคนิคภาพลวงตาเข้าไปใช้อาจทำให้แพรเห็นเพื่อนที่นั่งทำงานถัดออกไป 4 เมตร เห็นว่ามีเพื่อนนั่งทำงานด้วยใกล้กัน เป็นต้น ดังนั้นแพรคิดว่างานออกแบบนี้จะเป็นประสบการณ์ของผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกเลย เพราะสถาปัตยกรรมไม่ได้สื่อสารผ่านการใช้งานและรูปทรงเท่านั้น การรับรู้ที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ในสถาปัตยกรรม อาจเกิดจากการรับรู้ของระบบสัมผัสต่างๆ ของร่างกายเรา อาทิ ทางสายตา ทางการสัมผัส ทางการได้ยินเสียง หรือรับรู้ถึงกลิ่น ซึ่งการรับรู้เหล่านี้ที่เกิดขึ้นจากสถาปัตยกรรมจะส่งผลให้เกิดประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไปตามการออกแบบของสถาปนิกแต่ละคน”


จาการงานออกแบบและการเรียนสถาปัตย์ของแพรนั่นทำให้เรารู้จักพัฒนาความคิดของตัวเองอยู่ตลอด และเริ่มที่จะตั้งคำถามกับสิ่งรอบๆ ตัวมากขึ้น จะทำให้มองเห็นความน่าสนใจหลายอย่างที่ตัวเราเองไม่เคยสนใจมาก่อน อยากลองเก็บข้อมูลที่เจอในชีวิตประจำวันมาเป็นภาพถ่ายบ้าง ทำออกมาเป็นงานศิลปะบ้าง เพื่อเก็บไว้ใช้ต่อยอดในงานออกแบบด้านอื่น อาจเป็นเพราะการเรียนสถาปัตย์นั้นไม่มีหลักสูตรตายตัว ทำให้เราต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และหาแนวทางใหม่ในการออกแบบอยู่เสมอ
"