ภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวยังมีอีกบทบาทหนึ่งที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครของ หมอแหวว-แพทย์หญิงเพ็ญลดา ครุธโกษา ซีอีโอธุรกิจความสวยความงามครบวงจรชื่อดัง “เอเม่คลินิก” นั่นคือการเป็นไบค์เกอร์สาว ที่หลงเสน่ห์การขี่บิ๊กไบค์แบบท่องเที่ยวผจญภัย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเจ้าของบล็อกเกอร์ชื่อดัง ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนน

แพทย์หญิงเพ็ญลดา ครุธโกษา หรือ หมอแหวว จบปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรังสิต เธอเล่าย้อนไปในวัยเรียนว่า เหตุผลที่เลือกเรียนแพทย์ที่ ม.รังสิต ส่วนหนึ่งเพราะเป็นอาชีพในฝันของเด็กเรียนดี ซึ่งเป็นความต้องการของคุณพ่อที่อยากให้ลูกรับราชการ บวกกับคุณแม่เป็นพยาบาล และอาชีพแพทย์ถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นระบบเอ็นทรานซ์อยู่ เราต้องเลือก 4 อันดับ ด้วยความที่ไม่อยากไปเป็นหมอต่างจังหวัด เราก็เลยเลือก ม.รังสิต รามา และศิริราช แต่สมัยเรียนนักศึกษาแพทย์จะไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเยอะมาก ก็จะมีการออกหน่วยแพทย์ซึ่งหมอไปร่วมกิจกรรมตลอด


เบื้องหลังเสื้อกาวน์ของหมอแหวว
หลังจากเรียนจบแพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต หมอเลือกเรียนเฉพาะทางด้านพยาธิวิทยากายวิภาค ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นสาขาขาดแคลน ระหว่างนั้นได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางด้านความงามจากหลากหลายคลินิก ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของการทำงานในศาสตร์ความสวยความงาม
“หมอเรียนเฉพาะทางที่ศิริราช 3 ปี ส่วนตัวหมอเป็นคนค่อนข้างผจญภัยนิดหนึ่ง จึงเบนเขมมาเป็นแพทย์ทั่วไป หรือ GP อยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน 1 ปี และในระหว่างที่เรียนเฉพาะทางก็มีรับจ็อบทั่วไป หลังจากนั้นก็เริ่มมาทำคลินิกความงาม เพราะเรารู้สึกว่ามีเพื่อนที่ทำแล้วสวยขึ้น และเริ่มอ่านเริ่มมีความรู้จึงรับจ็อบทางด้านนี้ควบคู่กับการรักษาโรคไปด้วย”
คุณหมอเล่าต่อว่า ตอนนั้นทำ GP ได้ประมาณเกือบๆ สองปี เริ่มรู้สึกว่าเราเบื่อ ก็เลยหันมาทำเรื่องของความงามเต็มตัว โดยเริ่มทำเมื่อปี 2556 ทำให้คนอื่นอยู่สักพักใหญ่จนคิดว่าเรามีองค์ความรู้มากพอในเรื่องทางการแพทย์ การบริหาร มีทั้งเพื่อนแพทย์และทีมงาน ที่เขาอยากเปลี่ยนงานก็มาทำร่วมกัน เราเริ่มหาอะไรที่มันท้าทายขึ้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเอเม่คลินิก

เอเม่คลินิก (Aime’Clinic) มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "ความรัก" สะท้อนถึงความตั้งใจทำงานนี้ด้วยความรักและความสุข ที่ได้ทำให้คนที่เข้ามารับบริการดูดีขึ้นในแบบที่ต้องการ ปัจจุบันเอเม่คลินิกเปิดให้บริการ 6 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ สาขาลาดพร้าว ราชพฤกษ์ ห้วยขวาง ต่างจังหวัดแบ่งออกเป็น 3 คือ สาขาที่ จ.เพชรบุรี จันทบุรี และล่าสุดอุดรธานี


สำหรับวิธีการบริหารงานของหมอนั้น นิสัยส่วนตัวหมอไม่ค่อยอยู่ติดที่เป็นคนขี้เบื่อ คิดว่าการเปิดในแต่ละที่เป็นการกระจายในเรื่องของการหาลูกค้า บางคนอาจจะมองว่าเราทำที่เดียวทำการตลาดออกไปเยอะๆ เดี๋ยวคนไข้ก็มา แต่เรากลับคิดว่า เราทำที่หนึ่งก็จะมีคนไข้ที่มาจากต่างถิ่น อย่างเช่น เราทำที่กรุงเทพก็จะมีคนไข้มาจาก ต่างจังหวัด อย่างที่ จ.เพชรบุรี มีพนักงานที่เราเคยสนิทกันเขาลาออกกลับบ้าน แล้วไปเปิดที่ จ.เพชรบุรี ก็โทรมาชวนว่า หมอมาสิ ที่นี่ยังไม่มีคลินิกที่มีคุณภาพในความรู้สึกของเขา ก็เลยลองมาเปิดดู พอเปิดสาขาแรกแล้วประสบความสำเร็จก็เลยเริ่มเปิดสาขาที่สอง ที่ จ.จันทบุรี เราเอาตัวเองไปเซอร์วิสเค้าถึงที่เค้าจะได้ไม่ต้องเดินทาง หลังจากนั้นก็ไปเปิดที่ จ.อุดรธานี ซึ่งจะมีคนไข้จากโซนภาคอีสานมาใช้บริการ

"เอเม่คลินิก ได้เสียงตอบรับที่ดี เราอยู่มา 4-5 ปี แล้ว ธุรกิจนี้ถ้าต้องการทำแล้วให้ได้มาตรฐานจริงๆ มันก็ไม่ได้มีกำไรสูงเท่าที่คิด ถ้าเราทำทุกอย่างให้อยู่บนมาตรฐานและใช้ยาที่นำเข้าอย่างถูกต้องจากบริษัทยา อยากทำเป็นเซ็นเตอร์ที่ตอบโจทย์คนไข้ได้ทุกอย่าง"

นอกจากอาชีพที่รักแล้ว เบื้องหลังเสื้อกาวน์ของหมอแหวว ยังชื่นชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างการขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เป็นชีวิตจิตใจ...
จุดเริ่มต้นของไบค์เกอร์
ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว และเป็นเด็กซนๆ แบบนี้ตั้งแต่เด็ก ที่บ้านก็ห่วงแต่ห้ามไม่ได้เพราะเราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วตัดสินใจเอง แต่ไม่ได้เป็นภาระให้เขา ตอนเริ่มขี่บิ๊กไบค์เราเริ่มขี่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตั้งแต่ขี่มอเตอร์ไซค์เล็กๆ อยากลองก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาจากรถเล็กเป็นรถใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเรียนจบทำงานแล้วมีเงินเป็นของตัวเองก็ซื้อเองได้

"สมัยที่หมอเล่นบิ๊กไบค์แล้วคนรู้จักเยอะ เพราะเราเขียนบล็อค ซึ่งตอนนั้นบล็อคดัง เรายังไม่มีเฟซบุ๊ก ตอนนั้นเราก็จะเขียนเรื่อยๆ และเป็นยุคแรกๆ ที่มีผู้หญิงที่ขี่บิ๊กไบค์แล้วออกมาเขียน ไปเที่ยวเราก็จะกลับมาเขียน เราจึงตั้งคำถามให้สังคมว่า ทำไมผู้หญิงถึงไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้ ก็อาจจะเป็นที่มาของการที่คนติดตามเยอะ หลังๆ ผู้หญิงก็มาขี่เยอะขึ้น หลังจากนั้นหมอก็เริ่มเขียนบล็อคเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม แล้วหันมาโฟกัสเรื่องนี้มากขึ้น"


ทริปประทับใจกับบิ๊กไบค์คู่ใจ
คุณหมอนักบิด เล่าถึงการขี่บิ๊กไบค์ให้ฟังว่า สมัยก่อนจะไปขี่ต้องมีการเตรียมตัว กางแผนที่ ก็จะมีคนไปเที่ยวตามเราบ้าง ทริปแรกเป็นทริปที่ประทับใจ เป็นทริปที่เอารถขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่กับเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักกันผ่านโซเชียล ตอนนั้นเรายังไม่เคยไปขี่กับใครเลย ก็กล้าๆ กลัวๆ เพราะคิดว่าคนไม่รู้จักกันไปเจอกันแล้วจะเป็นยังไง จะอันตรายไหม แต่ด้วยความที่อยากไป แล้วคนที่คุยด้วยเราก็คุยกันมาสักพักแล้ว ก็ไม่รู้สึกมีอันตรายอะไร แต่ไปตลอดทั้งทริปก็ได้แต่น้ำใจ ได้มิตรภาพที่ดี

"สมัยก่อนคนจะชอบไปขี่ที่เชียงใหม่ในช่วงหน้าหนาว เขาก็จะนัดกันเจอกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ บางทีรถเสียผู้ชายก็ช่วยเราซ่อม ไม่เคยมีทีท่าคุกคาม ไม่มีอันตรายอะไรจากไบเกอร์ด้วยกันเอง เราก็รู้สึกว่าเซฟประมาณหนึ่ง แต่เราก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ส่วนทริปที่ไกลสุดไปสิงคโปร์ ไป 12 วัน และที่ออกบ่อยก็จะมีลาว มาเลเซีย"

สุดท้ายหมอแหววได้ฝากถึงคนที่อยากทำธุรกิจด้วยว่า ถ้ามองว่าเป็นแพทย์แล้วทำธุรกิจได้ไหม คือเป็นแพทย์แล้วทำธุรกิจได้นะคะ จบแพทย์อะไรก็ตามก็สามารถทำธุรกิจได้หมด ไม่จำเป็นต้องเฉพาะทางด้านความงาม แต่ตัวเองก็เห็นว่ารุ่นพี่ที่จบเฉพาะทางด้านอื่น เขาก็สามารถที่จะมีไพรเวทคลินิกคือ มีคลินิกเป็นของตัวเองและสามารถที่จะใช้มันในการสร้างอาชีพและดำเนินชีวิต โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นหมอในโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว อย่างตัวหมอเองก็จะมีเรื่องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำอาหารเสริม หรืออาหารสุขภาพ หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพ จะมีหลากหลายแบบที่เราใส่เข้ามาในงานของเรา
...และนี่คือ ความลงตัวของไบค์เกอร์และเสื้อกาวน์ ในแบบฉบับหมอแหวว
"