"เพียงพอก็พอเพียง" ครั้งหนึ่งในชีวิตกับผลงานภาพถ่ายรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานในหลวง รัชกาลที่ 9

06 Oct 2017

 

ภาพทรงจำ… เมื่อครั้งวันวาน อาจถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของเรา แต่สิ่งที่ช่วยสะท้อนความทรงจำเหล่านั้นของเราให้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าคือ ภาพถ่าย ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงขณะหรือจังหวะหนึ่งในชีวิต เหมือนกับภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” ผลงานของนายคันธ์ชิต สิทธิผล ศิษย์เก่าสาขาวิชาศิลปภาพถ่าย คณะศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จากโครงการภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน เมื่อปี 2554-2555 ภายใต้แนวคิด “เพื่อประโยชน์สุข” ซึ่งจัดขึ้นโดย สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

 


คันธ์ชิต เล่าว่า โครงการประกวดภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน ถือเป็นโครงการประกวดภาพถ่ายที่ใหญ่มากในประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงวินิจฉัยภาพถ่ายด้วยพระองค์ท่านเอง จึงตัดสินใจส่งภาพถ่ายเข้าร่วมประกวด สำหรับหัวข้อในการประกวดครั้งนั้น คือ “เพื่อประโยชน์สุข” จึงนึกถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายพอเพียง ซึ่งเป็นปรัชญาที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ประชาชนชาวไทย ประกอบกับที่ตัวเองเป็นคนชอบถ่ายภาพแนวสารคดี ชอบถ่ายรูปเกี่ยวกับชีวิตคนเพื่อเก็บวิถีชีวิต เรื่องราวต่างๆ ที่คาดว่าในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะเลือนหายจากสังคมไทยไปตามกาลเวลาเป็นคอนเซปต์ของงานส่วนตัวอยู่แล้ว จึงได้เป็นแนวคิดหลักของผลงานภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” ซึ่งภาพนี้แหละที่ตอบเราว่าพอเพียงจริงๆ

 

 

สะท้อนวิถีชีวิตชาวนาไทย แบบ “เพียงพอก็พอเพียง”
ผลงานภาพถ่าย “เพียงพอก็พอเพียง” เป็นภาพที่ต้องการสะท้อนเรื่องราวการใช้ชีวิตของชาวนาไทย ที่ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำนา ยังใช้แรงคนในหมู่บ้านช่วยกัน มีการถ้อยทีพึ่งพาอาศัยร่วมกันลงแขก เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว ซึ่งเป็นสังคมที่อาจะหาไม่ได้แล้วในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง และคำว่าประโยชน์สุข ได้ดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งนาขั้นบันไดในปัจจุบันเริ่มมีน้อยลงจนอาจจะถึงขั้นไม่มีต่อไปในอนาคต นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราน่าจะอนุรักษ์เรื่องราวดีๆ ของความมีน้ำใจรวมถึงการทำนาแบบขั้นบันไดที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็น สำหรับเทคนิคที่ใช้ในการถ่ายภาพ คือ เทคนิคการจัดองค์ประกอบแบบจุดตัดเก้าช่องเหมือนตอนที่ได้เรียนมา ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของจังหวะและเวลา ซึ่งภาพบางภาพอาจจะเซ็ทเพื่อการถ่าย แต่ภาพนี้เป็นภาพที่ชาวบ้านกำลังช่วยกันฟาดข้าวอยู่จริงๆ แล้วจังหวะก็พอดีกับช่วงเวลาที่กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ จึงทำให้ได้ภาพที่ได้อารมณ์และมีบรรยากาศจริงๆ

 


หากนับการตามการตัดสินของคณะกรรมการ จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดถึง 1,169 ภาพ ภาพถ่ายของผมอยู่เป็นลำดับที่ 13 ซึ่งจะมีเพียง 12 ภาพเท่านั้น ที่ได้รับการทูลเกล้าฯ นำเสนอให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย แต่มีภาพของผู้เข้าประกวดท่านหนึ่งที่ผิดกติกา ภาพของผมจึงได้รับเลือกทูลเกล้าฯ นำเสนอแทน ต้องบอกว่ารู้สึกตื้นตันใจมาก คือผมเป็นแค่คนไทยคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แค่ได้ทราบว่าพระองค์ท่านได้ทรงทอดพระเนตรผลงานภาพถ่ายของผม ผมก็รู้สึกมีความสุขมากๆ ถึงจะไม่ได้รับการคัดเลือกก็ปลื้มใจมากแล้ว แต่พอทราบว่าพระองค์ท่านทรงมีพระราชวินิจฉัยเลือกภาพที่เราถ่าย นั่นยิ่งทำให้รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับตนเองและครอบครัว เพราะถือได้ว่าเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตการถ่ายภาพ

“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตรัสกับผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในครั้งนั้นว่า ภาพถ่ายนี้จะกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ เพราะการฟาดข้าวเป็นประเพณีที่ไม่ค่อยจะได้เห็นอีกแล้ว สมัยนี้ชาวนาใช้เครื่องจักรกันเยอะ”

 

 

ภาพแห่งประวัติศาสตร์
คันธ์ชิต เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพว่า เริ่มถ่ายภาพก็อกๆ แก็กๆ เรื่อยเปื่อย มาประมาณ 1-2 ปี ก่อนเข้าเรียนที่สาขาวิชาศิลปภาพถ่าย มหาวิทยาลัยรังสิต พอได้เข้ามาเรียนก็เริ่มจริงจังกับการถ่ายภาพมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าได้เรียนไปด้วยได้ถ่ายภาพไปด้วยมันก็ทำให้ยิ่งมีความสุข นอกจากนี้ ยังได้ส่งภาพเข้าไปประกวดตามโครงการต่างๆ พอส่งประกวดแล้วหากได้รับรางวัลก็จะนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาต่อยอดในการถ่ายภาพ อีกสิ่งหนึ่งของการส่งภาพประกวด คือเราจะได้เรียนรู้ฝีมือของตัวเองควบคู่ไปด้วย เราต้องไม่หยุดอยู่กับที่ ส่งภาพเข้าประกวดเรื่อยๆ แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมา คือประสบการณ์ที่มีค่าจากคอมเม้นต์ต่างๆ ของกรรมการ เพื่อมาดูว่าสิ่งที่เรายังขาดคืออะไร ต้องเพิ่มเติมจุดใด เพื่อจะได้พัฒนาและปรับปรุงในแต่ละย่างก้าวของเราต่อไปสู่อนาคต ประมาณว่าเรียนรู้จากสิ่งที่ผ่านมาเพื่อต่อเติมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น


ภาพบางภาพอาจสามารถบอกเล่าเรื่องราว บันทึกเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำในบางช่วงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เราลืมสิ่งสำคัญที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเราได้ดีไม่แพ้สิ่งอื่น

 

"

ผู้จัดทำ

บทความที่คุณอาจสนใจ